เปิดหุ้นเด่น ฝ่าภาษี “ทรัมป์” รับอานิสงส์ฟันโฟลว์ไหลเข้า ตลาดทุนไทย
นายสุเชษฐ์ สุขแท้ รองกรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์ เอเอสแอล จำกัด ได้แนะนำให้ลงทุนในหุ้นบริษัทขนาดใหญ่ที่เป็นแกนหลักของอุตสาหกรรมต่าง ๆ ในงานมหกรรมการเงินโคราช Money Expo Korat ครั้งที่ 19
วันที่ 10 สิงหาคม 2568 จากสถานการณ์ทางการเมืองระหว่างประเทศมีความผันผวนอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเด็นนโยบายทางการค้าของสหรัฐฯ ซึ่งส่งผลกระทบโดยตรงต่อตลาดทุนทั่วโลก อย่างไรก็ดีตลาดทุนไทยกลับมีโอกาสโดดเด่นและเป็นที่สนใจของนักลงทุนต่างชาติ เนื่องจากประเทศไทยมีโครงสร้างเศรษฐกิจที่พึ่งพาการส่งออกไปยังสหรัฐฯ ในสัดส่วนที่จำกัด อีกทั้งยังเป็นฐานการผลิตที่สำคัญในภูมิภาคเอเชีย ซึ่งอาจได้รับอานิสงส์จากการย้ายฐานการผลิตเพื่อหลีกเลี่ยงผลกระทบจากนโยบายภาษีของสหรัฐฯ
อีกทั้งประเทศไทยมีการเจรจาที่ประสบความสำเร็จในการกำหนดอัตราภาษีนำเข้าสินค้าจากไทยที่ 19% ซึ่งแม้จะเป็นอัตราที่เพิ่มขึ้น แต่ก็ถือว่าต่ำกว่าอัตราที่ถูกประกาศไปในช่วงแรกที่ 36% และอยู่ในระดับที่ใกล้เคียงกับคู่แข่งในภูมิภาคอาเซียน ซึ่งส่งผลให้เกิดความเชื่อมั่นกลับสู่เศรษฐกิจและตลาดทุนไทย ช่วยให้นักลงทุนสามารถประเมินผลกระทบและวางแผนการลงทุนได้ดียิ่งขึ้น
นายสุเชษฐ์ สุขแท้ รองกรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์ เอเอสแอล จำกัด ได้กล่าวถึงโอกาสในการลงทุนหุ้นไทยในช่วงที่ตลาดทุนไทยมีแนวโน้มและทิศทางที่เริ่มสดใสอีกครั้งในเวทีสัมมนา หุ้นเด่น ฝ่าภาษี “ทรัมป์” รับอานิสงส์ฟันด์โฟลว์ไหลเข้า ในงานมหกรรมการเงินโคราช Money Expo Korat ครั้งที่ 19
นายสุเชษฐ์ชี้ให้เห็นถึงปัจจัยบวกสำหรับตลาดหุ้นไทยว่า หลังจากที่สหรัฐฯได้มีการประกาศอัตราภาษีนำเข้าสินค้าจากไทยที่ 19% อย่างชัดเจนแล้ว ตลาดทุนไทยมีเม็ดเงิน (Funds Flow) ลงทุนจากต่างชาติไหลเข้ามากว่า 5 หมื่นล้านบาท ทำให้ดัชนีตลาดหุ้นไทย (SET INDEX) ฟื้นตัวกลับมาที่ประมาณ 1,250 จุดและอาจขยับขึ้นไปถึงประมาณ 1,350 จุดในช่วงสิ้นปี 2568
นอกจากนี้การประกาศอัตราภาษีนำเข้าของอเมริกายังมีผลให้ตลาดทุนทั่วโลกคลายความกังวล นักลงทุนมองว่าไม่ได้น่ากลัวอย่างที่คิด ซึ่งเทรนด์การฟื้นตัวของตลาดทุนทั่วโลกนั้นก็มีส่วนช่วยผลักดันให้ตลาดทุนไทยนั้นโตตามไปด้วย
โดยในช่วงที่ตลาดเริ่มกลับมามีทิศทางบวกนี้ นายสุเชษฐ์ได้แนะนำว่าหากต้องการจะลงทุนในตลาดทุนไทยช่วงนี้ ให้เน้นไปที่หุ้นบริษัทขนาดใหญ่ที่เป็นแกนหลักของกลุ่มอุตสาหกรรม เนื่องจากบริษัทในกลุ่มนี้จะได้อานิสงส์ฟื้นตัวจากเทรนด์การฟื้นตัวของตลาดทุนทั่วโลกและยังถูกแทรกแซงจากการขยายตัวของจีนได้ยากกว่าบริษัทขนาดกลางหรือขนาดเล็ก โดยหุ้นที่แนะนำให้ลงทุนมีดังนี้
กลุ่มเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ICT) : กลุ่ม ICT ยังคงมีแนวโน้มการเติบโตที่แข็งแกร่ง โดยเฉพาะบริษัทที่สามารถปรับตัวเข้ากับกระแสเทคโนโลยีใหม่ๆ ได้อย่างรวดเร็ว
- Advanced Info Service (ADVANC) มีแนวโน้มการเติบโตที่โดดเด่น จากการได้สิทธิ์ถ่ายทอดฟุตบอลเป็นระยะเวลา 6 ปี ซึ่งจะส่งผลให้มีรายได้ต่อเนื่องในอีก 5-6 ปีข้างหน้า นอกจากนี้ ยังมีปัจจัยหนุนจากการขยายตัวของเทคโนโลยีใหม่ๆ เช่น คริปโทเคอร์เรนซี และบริการคลาวด์ ซึ่งจะช่วยเพิ่มโอกาสทางธุรกิจในระยะยาว
กลุ่มโรงพยาบาล: อุตสาหกรรมการแพทย์มีทิศทางการเติบโตที่น่าสนใจ จากการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างประชากรของประเทศไทยที่ก้าวเข้าสู่สังคมสูงวัย
- Bangkok Dusit Medical Services (BDMS) มีเครือข่ายโรงพยาบาลครอบคลุมทั่วกรุงเทพฯ และปริมณฑล ซึ่งเป็นจุดแข็งที่ช่วยขยายฐานลูกค้าได้อย่างกว้างขวาง ประกอบกับการเข้าสู่สังคมสูงวัยของประเทศไทย ทำให้ความต้องการด้านการรักษาพยาบาลเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ส่งผลดีต่อการเติบโตของบริษัทในอนาคต
กลุ่มธนาคาร: กลุ่มธนาคารพาณิชย์เป็นอีกหนึ่งกลุ่มที่นักลงทุนสามารถพิจารณาเพื่อการลงทุนระยะยาวได้ โดยเฉพาะธนาคารที่มีความแข็งแกร่งและมั่นคง
- ธนาคารกรุงเทพ (BBL) และ ธนาคารกสิกรไทย (KBANK) เหมาะสำหรับนักลงทุนที่เน้นการลงทุนระยะยาว เนื่องจากเป็นธนาคารขนาดใหญ่ที่มีความมั่นคงสูง และมีพื้นฐานที่แข็งแกร่ง
- ธนาคารกรุงไทย (KTB) มีราคาที่น่าสนใจเมื่อเทียบกับปัจจัยพื้นฐานทางธุรกิจที่แข็งแกร่ง
กลุ่มพาณิชย์และค้าปลีก: กลุ่มนี้มีความหลากหลายและมีโอกาสในการลงทุน ขึ้นอยู่กับปัจจัยเฉพาะของแต่ละธุรกิจ
- บริษัท คอมเซเว่น จำกัด (มหาชน) (COM7) เป็นผู้นำในธุรกิจจำหน่ายสินค้าไอทีและสมาร์ทโฟน มีแนวโน้มการเติบโตที่ดีจากความต้องการสินค้าไอทีที่มีอย่างต่อเนื่อง โดยมีราคาเป้าหมายที่คาดการณ์ไว้ประมาณ 30 บาท
- บริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน) (CPALL) เหมาะสำหรับการลงทุนแบบเล่นรอบ โดยมีราคาเป้าหมายประมาณ 60-70 บาท และควรพิจารณาเข้าซื้อในช่วงราคาประมาณ 50 บาท
- บริษัท เซ็นทรัล รีเทล คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) (CRC) แม้ราคาจะอยู่ในระดับต่ำ แต่ยังต้องใช้เวลาในการปรับตัวขึ้น
- บริษัท โฮม โปรดักส์ เซ็นเตอร์ จำกัด (มหาชน) (HMPRO) อาจได้รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัว ทำให้ผู้บริโภคชะลอการตัดสินใจซื้อสินค้าตกแต่งบ้าน
กลุ่มพลังงานไฟฟ้า: กลุ่มพลังงานไฟฟ้ามีบทบาทสำคัญในอนาคต โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเปลี่ยนผ่านสู่พลังงานสะอาด
- บริษัท กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) (GULF) และ บริษัท โกลบอล เพาเวอร์ ซินเนอร์ยี่ จำกัด (มหาชน) (GPSC) เป็นหุ้นที่น่าสนใจในกลุ่มนี้ โดยเฉพาะ GULF ที่มีบทบาทสำคัญในการลงทุนในธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับพลังงานสะอาด เช่น โซลาร์รูฟท็อป และยานยนต์ไฟฟ้า (EV) ซึ่งมีแนวโน้มการเติบโตสูงในอนาคต
กลุ่ม AI และปิโตรเคมี - บริษัท เดลต้า อีเลคโทรนิคส์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) (DELTA) ได้รับปัจจัยหนุนจากการเติบโตของเทคโนโลยี AI ซึ่งเป็นอุตสาหกรรมแห่งอนาคต
- สำหรับกลุ่มปิโตรเคมีและพลาสติกจะเติบโตได้ดีเมื่อเศรษฐกิจรุ่งเรือง ส่วนราคาน้ำมันที่ปรับตัวลงจะช่วยลดต้นทุนการผลิตลง โดยหากต้องการลงทุนในบริษัทปิโตรเคมีที่เน้นธุรกิจน้ำมัน เช่น OR หรือ BCP ควรพิจารณาเข้าซื้อในช่วงที่เศรษฐกิจมีแนวโน้มดีขึ้น ซึ่งคาดว่าจะเป็นช่วงปลายปี โดยมีราคาเป้าหมายประมาณ 60-70 บาท
กลุ่มการท่องเที่ยวและโรงแรม
- บริษัท ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) (MINT) คาดว่าจะฟื้นตัวในช่วงเดือนพฤศจิกายน ซึ่งเป็นช่วงไฮซีซันของการท่องเที่ยว จึงเหมาะกับการลงทุนแบบเล่นรอบ โดยแนะนำให้เข้าซื้อที่ราคาประมาณ 24 บาท และขายทำกำไรในช่วงราคา 26-30 บาท
กลุ่มที่ควรพิจารณาอย่างรอบคอบ
- กลุ่มลิสซิ่ง ไม่แนะนำให้ลงทุนในช่วงเวลานี้ เนื่องจากมีปัจจัยเสี่ยงที่ต้องพิจารณาอย่างถี่ถ้วน
- กลุ่มพาณิชย์-อาหาร ทั้งหมดมีความเสี่ยงในสถานการณ์ปัจจุบัน จึงควรระมัดระวังในการลงทุน