STA ไตรมาส 2 ขาดทุน 787 ล้านบาท ครึ่งปีหลังคาดพลิกมีกำไร สัญญาณบวกภาษี 19 %
STA ไตรมาส 2 ขาดทุน 787 ล้านบาท ลูกค้าชะลอคำสั่งซื้อรอความชัดเจนภาษีภาษีทรัมป์ ครึ่งปีหลังคาดพลิกมีกำไร ดีมานด์ยางธรรมชาติรับสัญญาณบวก Tariff อัตรา 19% ไทยแข่งขันผู้ผลิตถุงมือยางอาเซียนได้
นายวีรสิทธิ์ สินเจริญกุล กรรมการผู้จัดการใหญ่ บมจ. ศรีตรังแอโกรอินดัสทรี (STA) เปิดเผยว่าไตรมาส 2/2568 บริษัทมีรายได้จากการขายและบริการ 30,841.4 ล้านบาท และปริมาณการขายยางธรรมชาติรวม 397,461 ตัน เพิ่มขึ้น 0.1% จากไตรมาสก่อน และ 20.7% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน
ในจำนวนนี้เป็นรายได้จากธุรกิจถุงมือยาง 5,970.1 ล้านบาท ลดลง 8.4% เทียบกับไตรมาสก่อนหน้า แต่เพิ่มขึ้น 5.4% เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน คิดเป็นปริมาณการขายถุงมือยาง 9,091 ล้านชิ้น ลดลง 1.1% เทียบไตรมาส 1/2568 เนื่องจากลูกค้าบางส่วนชะลอคำสั่งซื้อเพื่อรอความชัดเจนของภาษีศุลกากรสหรัฐฯ แต่เพิ่มขึ้น 7.9% เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนจากการฟื้นตัวของดีมานด์ทั่วโลก
สำหรับงวด 6 เดือนแรกปี 2568 มีรายได้จากการขายและบริการ 65,226 ล้านบาท และปริมาณการขายยางธรรมชาติรวม 794,416 ตัน เพิ่มขึ้น 31.8% และ 22.7% ตามลำดับ เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน มีกำไรก่อนหักดอกเบี้ย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่าย (EBITDA) 648 ล้านบาท ในจำนวนนี้เป็นรายได้จากการขายถุงมือยาง 12,490.2 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 7 % จากช่วงเดียวกันของปีก่อน จากราคาขายเฉลี่ยที่ปรับเพิ่มขึ้น ส่วนปริมาณการขายอยู่ที่ 18,282 ล้านชิ้น ลดลงเล็กน้อย 1.3% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากความกังวลภาษีศุลากรสหรัฐฯ แต่ชดเชยด้วยราคาขายเฉลี่ยที่เพิ่มขึ้น
"เนื่องจากราคาขายยางธรรมชาติได้รับแรงกดดันจากมาตรการภาษีศุลกากรตอบโต้ของประธานาธิบทรัมป์ ส่งผลให้ราคาขายเฉลี่ยไตรมาส 2/2568 ลดลงเมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า ส่งผลต่ออัตรากำไร ทำให้ STA ขาดทุนสุทธิในไตรมาส 2/68 ที่ 787 ล้านบาท และงวด 6 เดือนแรกขาดทุนสุทธิ 98.1 ล้านบาท"
นายวีรสิทธิ์ คาดการณ์อุตสาหกรรมยางธรรมชาติครึ่งปีหลัง 2568 มีความต้องการใช้ในตลาดโลกเพิ่มขึ้น หลังจากมีความชัดเจนอัตราภาษีตอบโต้ของสหรัฐฯ (Reciprocal Tariff) ที่ทยอยได้ข้อสรุปในหลายประเทศแล้ว ช่วยให้ภาคอุตสาหกรรมต่างๆ วางแผนธุรกิจต่อไปได้ ซึ่งจะเป็นปัจจัยบวกต่อผลการดำเนินงานครึ่งปีหลังของ STA
ขณะที่ข้อสรุปอัตราภาษีนำเข้าสินค้าไทยไปยังสหรัฐฯ ที่ 19% นั้น เป็นระดับเดียวกันกับประเทศผู้ผลิตถุงมือยางรายอื่นในอาเซียน ได้แก่ มาเลเซีย เวียดนาม และอินโดนีเซีย ทำให้ STA ไม่สูญเสียความสามารถในการแข่งขัน และคงสถานะที่แข็งแกร่งในตลาดโลก โดยบริษัทฯ วางแผนขยายตลาดยางธรรมชาติและถุงมือยางอย่างต่อเนื่อง ซึ่งจะส่งผลดีต่อการเติบโต โดยเฉพาะธุรกิจถุงมือยางของบริษัทฯ ในครึ่งปีหลังของปีนี้
นายวีรสิทธิ์ กล่าวว่า บริษัทฯ จะผลักดันผลการดำเนินงานกลับมาทำกำไรในครึ่งปีหลัง จากการมุ่งเน้นประสิทธิภาพการบริหารต้นทุน ส่วนปัจจัยที่ต้องติดตามคือสถานการณ์ราคายางธรรมชาติในตลาดโลกที่อ่อนตัวลงตั้งแต่ไตรมาส 2/2568 และยังคงมีแนวโน้มผันผวน