“ธนาคารกลางอินเดีย” ขายดอลลาร์กว่า 5 พันล้านดอลล์ พยุงค่าเงิน “รูปี” ใกล้ต่ำสุดประวัติการณ์
"ธนาคารกลางอินเดีย" ขายดอลลาร์กว่า 5 พันล้านดอลล์ หลังรูปีอ่อนแตะ 87.89 ต่อดอลลาร์ จากผลกระทบสหรัฐเพิ่มภาษีนำเข้าสินค้าอินเดียเป็น 50% หวั่นกระตุ้นเงินเฟ้อ ซ้ำเติมเศรษฐกิจ
วันที่ 11 สิงหาคม 2568 เวลา 13.26 น. สำนักข่าวบลูมเบิร์กรายงานว่า แหล่งข่าวระบุว่า ธนาคารกลางอินเดีย (RBI) ได้ขายเงินดอลลาร์สหรัฐทั้งในตลาดแลกเปลี่ยนเงินตราในประเทศและตลาดนอกประเทศในเดือนนี้ เพื่อพยุงค่าเงินรูปีที่อ่อนค่าลงใกล้ระดับต่ำสุดเป็นประวัติการณ์
แหล่งข่าวหนึ่งระบุว่า RBI ขายดอลลาร์สหรัฐอย่างน้อย 5 พันล้านดอลลาร์ หากแนวโน้มดังกล่าวดำเนินต่อไป เดือนนี้อาจกลายเป็นเดือนที่ RBI ขายดอลลาร์สุทธิสูงสุดนับตั้งแต่เดือนมกราคม
เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ค่าเงินรูปีร่วงลงแตะ 87.89 ต่อดอลลาร์สหรัฐ ใกล้ระดับต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ หลังโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐ ประกาศเพิ่มภาษีนำเข้าสินค้าอินเดียเป็นสองเท่าเป็น 50% เมื่อวันที่ 6 ส.ค. เพื่อเป็นโทษจากการซื้อน้ำมันรัสเซีย ค่าเงินรูปีที่อ่อนค่าลงอาจกระตุ้นเงินเฟ้อนำเข้าและกดดันการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจที่เปราะบางอยู่แล้ว
การแทรกแซงครั้งนี้บ่งชี้ถึงความเป็นไปได้ที่ RBI อาจเปลี่ยนท่าทีจากแนวทางระมัดระวังที่เคยใช้ภายใต้ผู้ว่าการซันเจย์ มัลโฮตรา ซึ่งเข้ารับตำแหน่งเมื่อเดือนธันวาคมที่ผ่านมา
รูปีอ่อนค่าลงแล้วกว่า 2% ตั้งแต่ต้นปี ทำให้เป็นหนึ่งในสกุลเงินที่อ่อนค่ามากที่สุดในเอเชีย โดยราวครึ่งหนึ่งของการอ่อนค่าดังกล่าวเกิดขึ้นในช่วง 2 สัปดาห์ที่ผ่านมา หลังเริ่มชัดเจนว่าทรัมป์มีแผนจะขึ้นภาษี
เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ธนาคารกลางถูกพบว่ามีการเข้าซื้อตราสารในตลาดนอกประเทศหลายครั้ง ก่อนที่ตลาดเงินในประเทศจะเปิดทำการเวลา 09.00 น. ตามเวลามุมไบ
ทั้งนี้การใช้ตราสารที่เรียกว่า non-deliverable forwards (NDF) ช่วยให้ธนาคารกลางสามารถกำหนดทิศทางของค่าเงินรูปีได้โดยไม่จำเป็นต้องขายดอลลาร์ปริมาณมากโดยตรง ซึ่งเป็นกลยุทธ์ที่ RBI ใช้มากในปีที่แล้ว
ข้อมูลทุนสำรองเงินตราต่างประเทศล่าสุดของ RBI ยังชี้ถึงการแทรกแซงที่เพิ่มขึ้น โดยทุนสำรองลดลง 9.3 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งเป็นการลดลงมากที่สุดนับตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน เหลือ 6.89 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐในสัปดาห์สิ้นสุดวันที่ 1 ส.ค. โดยส่วนหนึ่งของการลดลงอาจมาจากการเปลี่ยนแปลงของมูลค่าเงินตราต่างประเทศในตลาดโลก ไม่ได้เกิดจากการซื้อขายดอลลาร์ของธนาคารกลางเพียงอย่างเดียว
อ้างอิง : bloomberg.com