'เมเจอร์' จับมือ 'เถ้าแก่น้อย' ทุ่ม 100 ล้านตั้งบริษัทร่วมทุน ลุยตลาดป๊อปคอร์น
ล่าสุดบริษัท เมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ กรุ้ป จำกัด (มหาชน) แจ้งตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เรื่องการลงทุนจัดตั้งบริษัทร่วมทุนกับ บริษัท เถ้าแก่น้อย ฟู๊ดแอนด์มาร์เก็ตติ้ง จำกัด (มหาชน) จัดตั้งบริษัทใหม่ในชื่อ "บริษัท ทีเคเอ็น แอนด์ เมเจอร์ ป๊อปคอร์น จำกัด" เพื่อรุกตลาดป๊อปคอร์นสำเร็จรูปพร้อมทาน (Ready-to-eat) ทั้งในและต่างประเทศ
การร่วมทุนครั้งนี้มีทุนจดทะเบียน 100 ล้านบาท โดย เถ้าแก่น้อย ถือหุ้นในสัดส่วน 51% คิดเป็นเงินลงทุน 51 ล้านบาท และ เมเจอร์ ถือหุ้น 49% คิดเป็น 49 ล้านบาท ซึ่งจะนำเงินจากกระแสเงินทุนหมุนเวียนของบริษัทมาใช้ในการลงทุน โดยมีแผนชำระเงินงวดแรกภายในเดือนกันยายน 2568 จำนวน 24.5 ล้านบาท และงวดถัดไปเมื่อมีความจำเป็นต้องขยายธุรกิจหรือเพิ่มสภาพคล่อง
การตัดสินใจจับมือกับเถ้าแก่น้อยในครั้งนี้ สะท้อนให้เห็นถึงกลยุทธ์การขยายธุรกิจของเมเจอร์ที่มุ่งเน้นการสร้างรายได้จากธุรกิจเกี่ยวเนื่องกับภาพยนตร์ โดยเฉพาะการต่อยอดจากสินค้าเรือธงอย่าง "ป๊อปคอร์น" ที่มีฐานลูกค้าจำนวนมากในโรงภาพยนตร์ สู่ตลาดใหม่ที่กว้างขึ้นและเข้าถึงผู้บริโภคได้หลากหลายช่องทาง
อย่างไรก็ตาม บริษัท เมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ กรุ้ป จำกัด (มหาชน) รายงานผลการดำเนินงานสำหรับไตรมาส 2/2568 สิ้นสุดวันที่ 30 มิถุนายน 2568 โดยมีรายได้รวม 1,940 ล้านบาท และกำไรสุทธิ 124 ล้านบาท ซึ่งลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้าอย่างมีนัยสำคัญ
เมื่อเปรียบเทียบกับไตรมาส 2/2567 ที่มีรายได้ 2,033 ล้านบาท และกำไรสุทธิ 232 ล้านบาท พบว่า รายได้ของบริษัทลดลง 93 ล้านบาท (5%) และกำไรสุทธิลดลงถึง 108 ล้านบาท (46%)
ปัจจัยหลักที่ส่งผลกระทบต่อผลประกอบการในครั้งนี้มาจากการที่ ธุรกิจโรงภาพยนตร์มีรายได้ลดลง เนื่องจากในไตรมาส 2/2567 มีภาพยนตร์ไทยที่ได้รับความนิยมสูงอย่าง "หลานม่า" และ "อนงค์" ทำให้มีจำนวนผู้ชมและรายได้จากป๊อปคอร์นสูงกว่าปกติ ในขณะที่ไตรมาส 2/2568 จำนวนผู้ชมลดลงเมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า ส่งผลให้รายได้จากทั้งบัตรชมภาพยนตร์และป๊อปคอร์นลดลงตามไปด้วย อย่างไรก็ตาม ธุรกิจในเครือบางส่วนยังคงเติบโตได้ดี
- ธุรกิจโบว์ลิ่งและคาราโอเกะ: มีรายได้เพิ่มขึ้นจากการปรับกลยุทธ์และปรับปรุงพื้นที่ให้ทันสมัย
- ธุรกิจพื้นที่เช่าและบริการ: มีรายได้เพิ่มขึ้นจากจำนวนร้านค้าที่เพิ่มขึ้นในสาขาสุขุมวิท
- ธุรกิจผลิตและจัดจำหน่ายภาพยนตร์: มีรายได้ลดลงเล็กน้อย เนื่องจากปีที่แล้วมีรายได้เพิ่มเติมจากการฉายภาพยนตร์เรื่อง "ธี่หยด" และ "ของแขก" ผ่านช่องทางออนไลน์
ในด้านต้นทุน บริษัทมีต้นทุนขายและบริการรวม 1,322 ล้านบาท เพิ่มขึ้นเล็กน้อย 13 ล้านบาท (1%) จากปีก่อน ส่งผลให้อัตราส่วนกำไรขั้นต้นลดลงจาก 36% เหลือ 32% แต่ในทางกลับกัน บริษัทสามารถ บริหารจัดการค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยลดค่าใช้จ่ายลงได้ถึง 76 ล้านบาท (13%) ซึ่งช่วยลดผลกระทบจากการที่รายได้ลดลงได้ในระดับหนึ่ง