โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

ไอที ธุรกิจ

ภาษีสหรัฐฯ ลดลงเหลือ 19% โอกาสและความท้าทาย อุตฯ อิเล็กทรอนิกส์ไทย

กรุงเทพธุรกิจ

อัพเดต 9 ชั่วโมงที่ผ่านมา • เผยแพร่ 3 ชั่วโมงที่ผ่านมา

อัตราภาษีนี้ทำให้ไทยมีระดับภาระภาษีทัดเทียมกับประเทศคู่แข่งหลักในอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ในอาเซียนอย่าง มาเลเซีย (19%) อินโดนีเซีย (19%) และฟิลิปปินส์ (19%) ยิ่งไปกว่านั้น อัตรานี้ยังทำให้ไทยได้เปรียบเวียดนามเล็กน้อย ซึ่งต้องเผชิญกับภาษีในอัตรา 20% แม้ความแตกต่างเพียง 1% จะดูเล็กน้อย แต่ก็มีความสำคัญในเชิงสัญลักษณ์และช่วยขจัดความเสียเปรียบทางการแข่งขันที่อาจเกิดขึ้นได้ ขณะที่สิงคโปร์ยังคงได้รับประโยชน์สูงสุดด้วยอัตราภาษีเพียง 10%

ล่าสุดสหรัฐฯ เพิ่งประกาศขึ้นภาษีประเทศอินเดียจาก 25% เป็น 50% ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่านโยบายนี้สามารถเปลี่ยนแปลงได้ ดังนั้นหากไทยไม่สามารถรักษาความสัมพันธ์ทางการค้าที่ดี อาจถูกปรับอัตราภาษีสูงขึ้นอีก
ในแง่ของอุตสาหกรรมดิจิทัล ผลกระทบหลักน่าจะมาจากอุตสาหกรรมการผลิตคอมพิวเตอร์และอิเล็กทรอนิกส์ รวมถึงอุปกรณ์ด้านโทรคมนาคมเพราะเราเป็นหนึ่งในผู้ส่งออกสินค้าอิเล็กทรอนิกส์และดิจิทัลรายใหญ่ของโลก

โดยเฉพาะฮาร์ดดิสก์ไดรฟ์ (HDD) วงจรรวม (Integrated Circuits) ชิ้นส่วนคอมพิวเตอร์ และอุปกรณ์ไฟฟ้า ซึ่งมีมูลค่ารวมกันสูงมากนับล้านล้านบาท ส่วนอุตสาหกรรมด้านอื่นๆ เช่น ซอฟต์แวร์หรือบริการดิจิทัลน่าจะไม่มีผลกระทบมากนักเพราะมูลค่าการส่งออกอุตสาหกรรมเหล่านี้เรามีเพียงหลักพันล้านบาท

แม้ว่าทาง U.S. Customs and Border Protection (CBP) ได้ออกมาประกาศเมื่อวันที่ 11 เมษายน 2568 ให้สินค้าอิเล็กทรอนิกส์ เช่น โทรศัพท์ คอมพิวเตอร์ และเซมิคอนดักเตอร์ ได้รับการยกเว้นจากภาษีตอบโต้ (reciprocal tariffs) แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าสินค้าเหล่านี้จะได้รับการยกเว้นจากภาษีทั้งหมด ซึ่งยังต้องพิจารณาจากพิกัดศุลกากรว่าหมวดใดบ้างที่จะได้รับการยกเว้นภาษี
และที่หนักที่ไปกว่านั้นคือ การที่ประธานาธิบดีทรัมป์ ออกมาขู่เมื่อวันที่ 6 สิงหาคม 2568 ว่ามีแผนการที่จะกำหนดภาษีศุลกากร 100% สำหรับชิปคอมพิวเตอร์และเซมิคอนดักเตอร์ที่นำเข้าทั้งหมด โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อกระตุ้นให้บริษัทเทคโนโลยีต่างๆ ย้ายฐานการผลิตกลับมายังสหรัฐอเมริกา เพื่อลดการพึ่งพาชิปจากต่างประเทศ โดยเฉพาะจากเอเชีย

อย่างไรก็ตาม นโยบายนี้จะมีการยกเว้นให้กับบริษัทที่กำลังสร้างหรือมีข้อผูกมัดที่จะสร้างโรงงานผลิตชิปในสหรัฐฯ ซึ่งอาจส่งผลให้ราคาสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ รถยนต์ และเครื่องใช้ไฟฟ้าสำหรับผู้บริโภคสูงขึ้น แต่ในขณะเดียวกันก็คาดว่าจะช่วยเร่งการลงทุนและส่งเสริมอุตสาหกรรมการผลิตชิปในสหรัฐฯ ให้เติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว
ส่วนอัตราภาษีที่ประกาศออกมาล่าสุด ประเทศเราก็ยังมีความเสี่ยงในเรื่องของบทลงโทษอัตราภาษี 40% กับสินค้าใดๆ ก็ตามที่ถูกตัดสินว่าเป็นการ"สวมสิทธิ์" (Transshipment) เพื่อหลีกเลี่ยงภาษีที่ตั้งไว้กับสินค้าจากจีน สิ่งนี้ไม่ใช่ภาษีศุลกากรปกติ แต่เป็นมาตรการเชิงลงโทษที่ออกแบบมาเพื่อยับยั้งการกระทำผิดอย่างรุนแรง โดยเป้าหมายหลักของมาตรการนี้คือประเทศในอาเซียน ซึ่งกลายเป็นศูนย์กลางสำคัญของห่วงโซ่อุปทานที่เริ่มต้นจากจีน เนื่องจากสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ส่งออกของไทยจำนวนมากต้องพึ่งพาส่วนประกอบและวัตถุดิบจากจีน

สหรัฐฯ ระบุอย่างชัดเจนว่ากฎเกณฑ์ที่จะนิยามว่าสิ่งใดถือเป็นการสวมสิทธิ์จะถูกประกาศ "ในอีกไม่กี่สัปดาห์ข้างหน้า" ซึ่งทำให้ผู้ส่งออกตกอยู่ในสภาวะสุญญากาศทางข้อมูล แม้ว่าจะรับรู้อัตราภาษี 19% แล้วก็ตาม แต่ก็ยังมีความไม่ชัดเจนซึ่งนั่นก็คือ ความเสี่ยงเชิงปฏิบัติการที่สำคัญอย่างยิ่ง บรรทัดฐานคำตัดสินในอดีตมีความซับซ้อนและบางครั้งก็ขัดแย้งกันเอง เช่น การประกอบชิ้นส่วนที่มี

"วัตถุประสงค์การใช้งานที่กำหนดไว้ล่วงหน้า" (predetermined use) อาจไม่ถือเป็นการแปรรูปที่เพียงพอ ซึ่งเป็นมาตรฐานที่ท้าทายการดำเนินงานของโรงงานประกอบชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์จำนวนมาก

ตัวเลขที่น่าสนใจในปี 2567 ที่ผ่านมา พบว่าประเทศไทยมีมูลค่าการส่งออกทั้งสิ้น 300,529 ล้านดอลลาร์ โดยส่งออกไปที่สหรัฐฯ มากสุดคือ 54,956 ล้านดอลลาร์ ตามมาด้วยจีน 35,243 ล้านดอลลาร์ ญี่ปุ่น 23,286 ล้านดอลลาร์ และมาเลเซีย 12,335 ล้านดอลลาร์
ซึ่งหากแยกหมวดสินค้าที่ส่งออกไปสหรัฐฯ ตามรหัสของกระทรวงพาณิชย์จะพบว่า สินค้าอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์เป็นกลุ่มสินค้าส่งออกอันดับ 1 ของไทย โดยมีสหรัฐอเมริกาเป็นตลาดส่งออกที่ใหญ่ที่สุด คิดเป็นสัดส่วนประมาณเกือบ 30% ของการส่งออกสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ทั้งหมดของไทย

มูลค่าการส่งออกของกลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ในปี 2567 สูงถึง 21,026 ล้านดอลลาร์ โดยแบ่งออกเป็นสินค้าที่สำคัญคือเครื่องคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์ 10,568 ล้านดอลลาร์ โทรศัพท์และอุปกรณ์ 4,657 ล้านดอลลาร์ และเซมิคอนดักเตอร์ 2,484 ล้านดอลลาร์ ที่น่าสนใจยิ่งไปกว่านั้นคือบริษัทรายใหญ่ๆที่ส่งสินค้าในกลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ไปยังสหรัฐฯ ก็คือ บริษัทของสหรัฐฯ เองที่มาตั้งฐานการผลิตในประเทศไทย

หากมาพิจารณาในกลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ที่เราส่งออกไปทั่วโลกจะมีมูลค่าทั้งสิ้น 52,940 ล้านดอลลาร์ นอกจากการส่งออกไปสหรัฐฯ 21,026 ล้านดอลลาร์ จะมีตลาดส่งออกอันดับรองลงมาคือ ฮ่องกง 4,964 ล้านดอลลาร์ จีน 4,397 ล้านเดอลลาร์ และเนเธอร์แลนด์ 3,012 ล้านดอลลาร์

นอกจากนี้ยังมีตัวเลขที่ทางทีมงานสถาบันไอเอ็มซีได้ไปทำการวิจัยให้กับสำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม พบว่าในปี 2566 มีบริษัทในประเทศไทยที่จดทะเบียนในหมวดที่เกี่ยวข้องกับการผลิตอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์จำนวน 1,462 บริษัท โดยมีรายได้รวมกันทั้งสิ้น 1,172,116 ล้านบาท และมีการจ้างงานรวม 238,013 คน

หลังจากภาษีมีผลบังคับใช้ ผู้ผลิตไทยคงต้องเผชิญกับคำสั่งซื้อใหม่ที่ลดลงจากอุปสงค์ที่หดตัว สถานการณ์นี้จะบีบให้ภาคการผลิตต้องเข้าสู่ช่วงชะลอตัวเพื่อบริหารจัดการและระบายสินค้าคงคลังที่สะสมไว้ แม้ต้นปีนี้ตัวเลขการส่งออกโดยเฉพาะอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ไปยังสหรัฐฯ จะพุ่งสูงขึ้น แต่ก็เป็นการสั่งสินค้ามาล่วงหน้าก่อนที่จะเข้าสู่ช่วงรับมาตรการภาษี แต่เราก็จะเริ่มเห็นภาวะอ่อนแอที่แท้จริงซึ่งมีแนวโน้มจะปรากฏชัดเจนในช่วงปลายปี 2568 ถึงต้นปี 2569

แม้อัตราภาษีที่ออกมาเราจะไม่ได้เสียเปรียบประเทศคู่แข่งนัก และเรายังมีศักยภาพที่พอจะแข่งโดยเฉพาะทางการผลิตฮาร์ดดิสก์ไดรฟ์ และแผงวงจรพิมพ์ ที่เราเป็นผู้ส่งออกรายใหญ่ของโลก แต่ตำแหน่งของไทยในห่วงโซ่อุปทานโลกนั้นกระจุกตัวอยู่ในการผลิตขั้นกลาง (เช่นแผงวงจรพิมพ์) และขั้นปลาย (เช่น การประกอบฮาร์ดดิสก์ไดรฟ์) โดยมีส่วนร่วมในอุตสาหกรรมขั้นต้น (เช่น การออกแบบและผลิตเซมิคอนดักเตอร์) ค่อนข้างน้อย โดยมีส่วนแบ่งตลาดส่งออกเซมิคอนดักเตอร์โลกเพียง 1.7% ซึ่งเทียบกับมาเลเซีย (5%) และเวียดนาม (4%) โครงสร้างเช่นนี้ทำให้ไทยต้องพึ่งพาการนำเข้าชิ้นส่วนจากต่างประเทศโดยธรรมชาติ และมีความเปราะบางต่อการตรวจสอบกฎว่าด้วยแหล่งกำเนิดสินค้า

แต่การที่ประธานาธิบดีทรัมป์ยังมีนโยบายที่หนักแน่นที่จะย้ายฐานการผลิตกลับมายังสหรัฐฯ ประกอบกับบริษัทผู้ผลิตสินค้าเหล่านี้ส่วนใหญ่เป็นบริษัทจากสหรัฐฯ เราจึงมีความเสี่ยงค่อนข้างสูงที่เขาอาจจะย้ายฐานการผลิตกลับไป แม้ก่อนหน้านี้จะเคยวิเคราะห์กันว่าเรามีระบบนิเวศที่แข็งแกร่งในอุตสาหกรรมนี้ และการย้ายฐานการผลิตจะทำได้ยากก็ตาม แต่สุดท้ายหากรัฐบาลสหรัฐฯ ออกมาตรการภาษีที่กีดกันอย่างมากเช่นนี้ก็หนีไม่พ้นที่บริษัทจะต้องวางแผนที่จะย้ายออกไป
ดังนั้นเราคงจะต้องเร่งปรับตัวอย่างเร็ว ผลักดันการลงทุนในอุตสาหกรรมต้นน้ำมากขึ้น โดยการดึงดูดการลงทุนในอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ขั้นต้น เช่น การผลิตแผ่นเวเฟอร์ วัสดุขั้นสูง และการออกแบบเซมิคอนดักเตอร์ เพื่อเพิ่มมูลค่าภายในประเทศและลดการพึ่งพาการนำเข้า และต้องเร่งพัฒนาบุคลากรโดยร่วมมือกับภาคอุตสาหกรรมและสถาบันการศึกษา เพื่อพัฒนาบุคลากรด้านวิศวกรรมและเทคนิคที่จำเป็นสำหรับอุตสาหกรรมมูลค่าสูงเหล่านี้

รวมถึงการทบทวนและปรับปรุงกฎระเบียบ เพื่อให้แน่ใจว่าจะไม่เป็นอุปสรรคต่อการลงทุนเชิงกลยุทธ์ในอุตสาหกรรมเป้าหมายโดยไม่ได้ตั้งใจ

หากยังไม่เริ่มทำอะไรเพื่อวางแผนในระยะยาว อุตสาหกรรมด้านนี้เราคงลำบากแน่ และจะมีผลกระทบต่อการส่งออก เศรษฐกิจ และการว่างงานของคนหลายแสนคน

ดูข่าวต้นฉบับ
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...

ล่าสุดจาก กรุงเทพธุรกิจ

ศาลอุทธรณ์ยกฟ้อง 'รัชนี' ปมจูงใจคนไปเลือกตั้ง สส.ร้อยเอ็ด

54 นาทีที่แล้ว

ทรัมป์เปิดช่องกองทุนเกษียณ 401(k) ลงทุนทางเลือกใน 'คริปโท' ได้

57 นาทีที่แล้ว

สส.ปชน.บี้บอร์ด สปส.ต้องมาจากการเลือกตั้ง ไม่เอาระบบย้อนยุค

58 นาทีที่แล้ว

จีเอซี เสริมตลาด ส่ง GAC M8 PHEV ชิงแชร์ ตลาดเอ็มพีวี 2.49 ล้าน

1 ชั่วโมงที่ผ่านมา

วิดีโอแนะนำ

ข่าวและบทความไอที ธุรกิจอื่น ๆ

‘ป๊าดโธ่’ สาโทจากข้าวเหนียว 101 ปลุกเศรษฐกิจชุมชน-ชูวัฒนธรรมการดื่ม

ประชาชาติธุรกิจ

MONEY EXPO 2025 KORAT เริ่มแล้ว! อัดโปรแรงครบทุกเป้าหมายการเงิน หนุนเศรษฐกิจโคราช-อีสานตอนล่าง

สยามรัฐ

CBG กำไร Q2/68 ที่ 800 ลบ. โต 16% ยอดขายในประเทศแกร่ง ชดเชยผลกระทบชายแดนกัมพูชา ปันผล 0.70 บาท

ทันหุ้น

U.Store by copperwired ปรับโฉมใหม่สาขา Samyan Mitrtown ขยายพื้นที่ – เสริมประสบการณ์ช็อป Apple ครบวงจร

Wealthy Thai

WHA Group โชว์ฟอร์ม 6 เดือนแรกปี 68 รายได้รวมและส่วนแบ่งกำไรปกติ 9,325 ลบ. เพิ่มขึ้น 32% (Y-Y) ด้านกำไรปกติพุ่งแตะ 3,148 ลบ. เติบโต 24% (Y-Y)

Wealthy Thai

Evening Report 2025-08-08

StockRadars

เกาหลีใต้ ผนึก Big Tech ยักษ์ใหญ่ของประเทศ เตรียมปั้นโมเดล AI ท้าชนสหรัฐฯ-จีน

efinanceThai

KTB จับมือพันธมิตรร่วมจัดตั้ง "ธนาคาร คลิกซ์" ทำธุรกิจแบงก์ไร้สาขา

ทันหุ้น

ข่าวและบทความยอดนิยม

Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...