'กาแฟ' แพงอยู่แล้ว แต่ยังแพงได้อีก เมื่อบราซิลเจอภาษีทรัมป์ 50%
ในการเปิดเผยภาษีตอบโต้ของสหรัฐเมื่อวันที่ 1 ส.ค. ที่ผ่านมา เอกสาร Fact sheet ของทำเนียบขาวอาจระบุตัวเลขเอาไว้ว่า "บราซิล" เจอภาษีนำเข้าจากสหรัฐเพียงแค่ 10% แต่ที่จริงแล้วอัตรานี้คาดว่าเป็นเพียงแค่ภาษีตอบโต้พื้นฐานเท่านั้น ของจริงอยู่ที่คำสั่งประธานาธิบดีสหรัฐที่โดนัลด์ ทรัมป์ ลงนามไปเมื่อวันพุธเพื่อขึ้นภาษีสินค้าบราซิลเพิ่ม 40% รวมเป็น 50% แต่ยังพอเปิดช่องให้เจรจากันได้อยู่จนกว่าจะเริ่มมีผลบังคับใช้ในวันที่ 6 สิงหาคมนี้
หากตกลงกันไม่ได้ สินค้าจำนวนมากจะถูกเรียกเก็บภาษีในอัตราสูงสุดถึง 50% และหนึ่งในนั้นก็คือ "กาแฟ" ที่บราซิลเป็นประเทศผู้ผลิตและส่งออกไปยังทั่วโลกมากที่สุดในโลก ซึ่งทรัมป์ไม่ได้ยกเว้นภาษีให้เหมือนกับสินค้าบางรายการ เช่น น้ำส้ม
ก่อนหน้านี้ "กาแฟ" ถือเป็นสินค้าโภคภัณฑ์ที่ราคาขึ้นลงอย่างสุดผันผวนมาตั้งแต่ปีที่แล้ว จากที่ราคาสัญญาฟิวเจอร์เมล็ดอะราบิกาปรับตัวแพงขึ้นถึงราว 70% ในปี 2024 ราคาเมล็ดกาแฟยังพุ่งขึ้นไปทุบสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์ครั้งใหม่ทะลุ 4.41 ดอลลาร์/ปอนด์ เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ปี 2025 นี้
จากนั้นราคาทยอยปรับตัวลงมาภายในเดือนเดียวกัน สำนักข่าวรอยเตอร์สเคยรายงานอ้างผลสำรวจนักค้าในตลาดว่า ราคากาแฟจะทยอยปรับตัวลงมาถึงราว 30% ภายในสิ้นปีนี้ เพราะผลผลิตจะเพิ่มขึ้นและดีมานด์จะลดลง แต่เมื่อเดือนกรกฎาคม ราคากาแฟโดยรวมกลับพุ่งสูงขึ้นอีกครั้งไปแตะระดับสูงสุดในรอบ 2 ปี เพราะผลผลิตฝั่งเมล็ดโรบัสตาออกมาไม่เยอะตามที่คาดการณ์
ผลผลิตบราซิลมากกว่า 5 ประเทศรวมกัน
บราซิลนับเป็นประเทศผู้ผลิตกาแฟมากที่สุดอันดับ 1 ของโลก โดยคาดว่าในปีฤดูกาลผลิต 2025-26 จะผลิตกาแฟได้มากถึงราว 65 ล้านกระสอบ หรือทิ้งห่างผู้ผลิตเบอร์สองอย่าง "เวียดนาม" มากกว่าครึ่ง
และหากนับเฉพาะกาแฟสายพันธุ์ "อะราบิกา" ที่บราซิลคาดว่าจะผลิตได้มากกว่า 40 ล้านกระสอบ ก็ยิ่งทิ้งห่างเบอร์สองอย่าง "โคลอมเบีย" ที่ผลิตได้ 12.5 ล้านกระสอบเท่านั้น หรือมากกว่าอีก 5 ประเทศรวมกัน ซึ่งสะท้อนว่าในแง่ซัพพลายเออร์แล้ว ยังไม่มีใครสามารถแทนที่บราซิลได้ง่ายๆ
ขณะที่ "สหรัฐ" ถือเป็นประเทศที่บริโภคกาแฟมากที่สุดในโลกโดยมีการนำเข้าเฉลี่ยปีละ 25 ล้านกระสอบ ในจำนวนนี้มาจากบราซิลราว 8 ล้านกระสอบ หรือคิดเป็นสัดส่วนประมาณ 35-40% จากกาแฟอะราบิกาที่ผลิตได้
ภาษีนำเข้ากาแฟบราซิลที่สูงลิ่วของรัฐบาลทรัมป์ดูเหมือนจะบีบให้บราซิลต้องเลือกทางใดทางหนึ่งอย่างเลี่ยงไม่ได้ หากไม่ยอมทำตามคำขู่ของสหรัฐทั้งในเชิงการค้าและการเมือง (กรณีรัฐบาลบราซิลกำลังตามคิดบัญชีอดีตปธน.ขวาจัดคนเก่า) บราซิลก็ต้องเลือกตลาดใหม่อย่างเช่น "จีน" แทน ซึ่งคาดว่าจะผลดีต่อจีนและกระตุ้นให้ผู้ค้ามองหาเส้นทางอ้อมเข้าสู่สหรัฐแทน
“กระแสการค้ากาแฟทั่วโลกจะถูกปรับเปลี่ยนใหม่ ความเจ็บปวดจะรู้สึกได้ตั้งแต่เซาเปาโลไปจนถึงซีแอตเทิล(สตาร์บัคส์) ตั้งแต่แหล่งกำเนิดไปจนถึงโรงคั่ว ไปจนถึงร้านกาแฟ ร้านขายของชำ และนักเดินทางช่วงเช้า” ไมเคิล เจ. นูเจนท์ นักค้ากาแฟอาวุโสในสหรัฐและเจ้าของบริษัท MJ Nugent & Co. กล่าว
อานิสงส์ตกไปอยู่ที่ 'จีน'
การเปลี่ยนเส้นทางการส่งออกกาแฟปริมาณมหาศาลที่บราซิลมักจะส่งออกไปยังสหรัฐ อาจเป็นประโยชน์ต่อคู่แข่งสำคัญของทรัมป์อย่าง "จีน" แทน โดยเมล็ดกาแฟจากบราซิลอาจถูกส่งไปยังจีนมากขึ้น เนื่องจากความสัมพันธ์ทางการค้าระหว่างสองประเทศที่แนบแน่นขึ้นผ่านกลุ่มประเทศ BRICS และหลังจากที่รัฐบาลทรัมป์เปิดสงครามการค้ากับบราซิล
การบริโภคกาแฟในจีนกำลังเพิ่มสูงขึ้นเนื่องจาก "คนทำงานรุ่นใหม่" ไม่ได้ดื่มชาเหมือนคนรุ่นก่อน แต่เข้ามาสู่ตลาดกาแฟกันมากขึ้น และบราซิลก็เป็นซัพพลายเออร์หลัก โดยข้อมูลจากสมาคมผู้ส่งออก Cecafe พบว่าบราซิลส่งออกกาแฟไปยังจีน 538,000 กระสอบ ในช่วงครึ่งแรกของปี 2568
แม้ปริมาณการส่งออกไปจีนจะยังน้อยกว่ามากเมื่อเทียบสหรัฐ แต่การบริโภคกาแฟในจีนก็เติบโตขึ้นมากประมาณ 20% ต่อปีในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา และการบริโภคกาแฟต่อหัวเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่าในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา
โลแกน อัลเลนเดอร์ หัวหน้าฝ่ายกาแฟของ Atlas Coffee Club โรงคั่วและผู้จัดจำหน่ายกาแฟในสหรัฐ กล่าวว่า เมล็ดกาแฟจากบราซิลอาจถูกส่งไปยังสหภาพยุโรป (อียู) มากขึ้น ซึ่งไม่ต้องเสียภาษีนำเข้า โดยมีความเป็นไปได้ที่ผู้ส่งออกจะพยายามเลี่ยงภาษีนำเข้าโดยการส่งออกกาแฟบราซิลไปยังประเทศอื่นๆ เพื่อเป็นทางผ่านไปยังสหรัฐ
ขณะที่ผู้บริหารของบริษัทผู้ผลิตสินค้าเกษตร AFEX Ltd. มองว่าวิธีดังกล่าวจะเพิ่มต้นทุนด้านโลจิสติกส์เล็กน้อย แต่จะทำให้ผลกระทบจากภาษีนำเข้าลดลงเหลือสูงสุด 10 - 15% ซึ่งประเทศต่างๆ เช่น เม็กซิโกหรือปานามา อาจถูกนำมาใช้เป็นจุดแวะพักระหว่างทางแทน