"สถานทูตญี่ปุ่น" โพสต์แล้วหลังลงพื้นทราบข้อเท็จจริง ชายแดนไทย
Embassy of Japan in Thailand สถานเอกอัครราชทูตญี่ปุ่นประจำประเทศไทย เปิดเผยว่า เมื่อวันศุกร์ที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2568นายโอตากะ มาซาโตะ เอกอัครราชทูตญี่ปุ่นประจำประเทศไทย และ พันเอกอุเมทานิ เออิจิ ผู้ช่วยทูตฝ่ายทหาร ได้เข้าร่วมกับคณะผู้แทนทางการทูตเข้าสังเกตการณ์พื้นที่ในจังหวัดศรีสะเกษ และจังหวัดอุบลราชธานี พร้อมทั้งรับฟังรายงานล่าสุดในเรื่องสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา ซึ่งจัดโดยรัฐบาลไทย
สถานเอกอัครราชทูตญี่ปุ่นประจำประเทศไทย ขอแสดงความเสียใจอย่างสุดซึ้งต่อความสูญเสียที่เกิดขึ้นจากการปะทะกันทางทหารบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา ที่เกิดขึ้นเมื่อไม่นานมานี้ และขอแสดงความห่วงใยไปถึงผู้ที่ได้รับบาดเจ็บ ผู้ได้รับความเสียหาย และผู้อพยพหนีภัยจากการสู้รบทุกท่าน ในการเข้าสังเกตการณ์พื้นที่ในวันนี้ ยังได้มีโอกาสพูดคุยสอบถามสารทุกข์สุขดิบกับผู้ได้รับผลกระทบและผู้อพยพโดยตรง และหวังเป็นอย่างยิ่งว่าสถานการณ์ในพื้นที่ดังกล่าวจะกลับมาสู่ความสงบสุขอีกครั้งในเร็ววัน
รัฐบาลญี่ปุ่นยินดีเป็นอย่างยิ่ง ที่ประเทศไทยและประเทศกัมพูชา ทั้งสองประเทศสามารถบรรลุข้อตกลงหยุดยิงในทันทีโดยไม่มีเงื่อนไข โดยหวังเป็นอย่างยิ่งว่า ข้อตกลงหยุดยิงนี้จะยังคงดำเนินอยู่ต่อไป และเพื่อฟื้นฟูความสัมพันธ์ของทั้งสองประเทศให้กลับสู่สภาวะปกติอีกครั้ง การลดระดับความตึงเครียด ซึ่งรวมไปถึงการปฏิบัติตามข้อตกลงหยุดยิงอย่างจริงจัง ถือเป็นสิ่งที่ขาดไปเสียไม่ได้ โดยรัฐบาลญี่ปุ่นจะให้ความร่วมมือมากที่สุดเท่าที่จะสามารถทำได้
ด้าน พลตรี นรธิป โพยนอก รองแม่ทัพภาคที่ 2 / รองผู้บัญชาการศูนย์ปฏิบัติการกองทัพภาคที่ 2 พร้อมคณะฯ ร่วมกับ กองทัพบก ได้นำเอกอัครราชทูตและอุปทูตจาก 11 ประเทศ ได้แก่ สหรัฐฯ จีน บรูไน ญี่ปุ่น เมียนมา มาเลเซีย ลาว อินโดนีเซีย สิงคโปร์ เวียดนาม และฟิลิปปินส์
รวมทั้งคณะทูตทหารจาก 23 ประเทศ ได้แก่ จีน มาเลเซีย ปากีสถาน เกาหลีใต้ รัสเซีย สิงคโปร์ เยอรมนี อินเดีย ลาว แคนาดา ฝรั่งเศส สหรัฐอเมริกา ฟิลิปปินส์ ญี่ปุ่น เวียดนาม อิตาลี เนเธอร์แลนด์ อินโดนีเซีย สวีเดน สวิตเซอร์แลนด์ บรูไน ตุรกี และสหราชอาณาจักร
รวมถึงสื่อมวลชนไทยและต่างประเทศ จำนวนทั้งสิ้น 150 คน ลงพื้นที่ชายแดนไทย–กัมพูชา ในพื้นที่จังหวัดอุบลราชธานีและศรีสะเกษ เพื่อรับฟังการบรรยายสรุปเหตุการณ์ ตรวจสอบ และสังเกตการณ์ผลกระทบที่เกิดขึ้นกับพลเรือนไทยจากการใช้อาวุธระยะไกลของฝ่ายกัมพูชา อันเป็นผลมาจากเหตุการณ์ตึงเครียดระหว่างไทย–กัมพูชา ซึ่งเป็นการกระทำที่ขัดต่อหลักกฎหมายสากลและหลักมนุษยธรรมระหว่างประเทศ
ทั้งนี้ ฝ่ายไทยได้ยื่นหนังสือประท้วงการกระทำดังกล่าวตามบันทึกความเข้าใจ (MOU) ปี 2000 หลายครั้ง แต่ไม่ได้รับการตอบสนองจากฝ่ายกัมพูชา และยังคงมีการก่อสร้างเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะการสร้างอนุสาวรีย์ เพื่อใช้เป็นเครื่องมือสร้างข้อได้เปรียบในการอ้างสิทธิ์เหนือดินแดนอธิปไตยของไทย
สำหรับความเสียหายที่ปรากฏในสื่อมวลชนเมื่อวานนี้ เกิดจากการสู้รบในพื้นที่ดังกล่าว โดยฝ่ายไทยมีเป้าหมายในการโจมตีทางทหารซึ่งฝ่ายกัมพูชาใช้สิ่งปลูกสร้างของพลเรือนเป็นที่กำบัง อย่างไรก็ตาม ไม่มีพลเรือนได้รับบาดเจ็บหรือเสียชีวิตจากเหตุการณ์ดังกล่าวแต่อย่างใด
กองทัพไทยขอประชาคมโลก “เห็นความจริง”
• ไทยไม่ได้รุกราน
• ไม่เคยเลือกใช้กำลังเกินจำเป็น
• เคารพกฎบัตรสหประชาชาติและกฎหมายมนุษยธรรม
• ขอเรียกร้องให้กัมพูชาหยุดการบิดเบือน และหันหน้ากลับสู่โต๊ะเจรจาอย่างตรงไปตรงมา
ข้อเท็จจริงไม่โกหก – ภาพถ่ายดาวเทียมไม่โกหก – บาดแผลพลเรือนไทยไม่โกหก กองทัพไทยยืนหยัดบนหลักสากล เพื่อปกป้องแผ่นดินอย่างชอบธรรม