อสังหาฯ ไทย 68-69 ไม่ใช่แค่ทำเล อาจต้องมี “กลยุทธ์บริหารความเสี่ยง” พร้อมรับคลื่นท้าทาย
ปี 2568 ถือเป็นปีแห่งความท้าทายสำหรับตลาดอสังหาริมทรัพย์ไทย แม้รัฐบาลจะต่ออายุสิทธิประโยชน์หลายมาตรการ เช่น ลดค่าธรรมเนียมการโอน–จดจำนอง และธนาคารแห่งประเทศไทยเริ่มผ่อนคลาย LTV แต่ยังไม่เพียงพอให้ตลาดฟื้นตัวเต็มที่ เพราะกำลังซื้อภายในประเทศยังอ่อนแรง ดอกเบี้ยต้นทุนยังสูง และผู้ซื้อระมัดระวังมากขึ้น ซ้ำยังต้องเผชิญกับความไม่แน่นอนในด้านเศรษฐกิจ และทั้งการเมืองทั้งในประเทศและนอกประเทศ จึงทำให้ความเชื่อมั่นของผู้บริโภคลดลง
ข้อมูลจากศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ (REIC) ระบุว่า ไตรมาส 1 ปี 2568 การโอนกรรมสิทธิ์ที่อยู่อาศัยทั่วประเทศมีจำนวน 65,276 หน่วย ลดลง 10.5% เป็นมูลค่า 181,545 ล้านบาท ลดลง 13% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน (YoY) โดยเป็นการชะลอตัวในทุกภูมิภาค
การชะลอตัวของการโอนกรรมสิทธิ์ที่อยู่อาศัยทั่วประเทศ ส่งผลให้ภาพรวมการปล่อยสินเชื่อที่อยู่อาศัยในช่วงไตรมาส 1 ปี 2568 ลดลงเช่นเดียวกัน โดยมีมูลค่าสินเชื่อที่อยู่อาศัยบุคคลปล่อยใหม่ทั่วประเทศ มูลค่า 109,368 ล้านบาท ลดลง 10% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน (YoY) ซึ่งมีมูลค่า 121,529 ล้านบาท สะท้อนให้เห็นถึงกำลังซื้อของผู้บริโภคที่ลดลง
ยักษ์ไหญ่อย่าง แสนสิริ ยังคงดำเนินธุรกิจภายใต้ยุทธศาสตร์ Dynamic Growth บริษัทวางแผนเปิดทัพถึง 29 โครงการ มูลค่า 52,000 ล้านบาท โดยแบ่งเป็นแนวราบ 14 โครงการ และคอนโดมิเนียม 15 โครงการ ตามแผนที่เคยประกาศไว้ พุ่งเป้าไปยังตลาดพรีเมียม–ลักชัวรี และเมืองท่องเที่ยวหลักอย่าง พัทยา ภูเก็ต ขอนแก่น โดยคาดยอดขายตลอดปีสูงถึง 53,000 ล้านบาท สะท้อนถึงการบริหารความเสี่ยงที่ไม่ได้จำกัดแค่การเงิน แต่รวมถึงการเลือกพอร์ตโครงการให้สอดคล้องกับฐานลูกค้าที่มีกำลังซื้อมั่นคง
อีกหนึ่งค่ายใหญ่ ศุภาลัย ในปี 2568 ได้วางแผนเปิดตัว 36 โครงการ มูลค่ารวม 46,000 ล้านบาท พร้อมตั้งเป้ายอดขาย 32,000 ล้านบาท โดยโฟกัสทั้งแนวราบ 28 และคอนโดมิเนียม 8 โครงการ นอกเหนือจากการเดินหน้าในกรุงเทพฯ ยังขยายไปยังหัวเมืองรองอย่าง ลพบุรี สุพรรณบุรี เกาะสมุย และในต่างประเทศผ่าน Supalai Australia Holdings เพื่อกระจายความเสี่ยงและเสริมรายได้ในระยะยาว อีกทั้งยังทำให้ธุรกิจมี Economy of Scale ที่ส่งผลต่อประสิทธิภาพการบริหารจัดการต้นทุน
ส่วน เอสซี แอสเซท ภายใต้แคมเปญ “Rethink to Reform” ได้วางแผนเปิด 12–16 โครงการแนวราบใหม่มูลค่ารวมกว่า 18–28 พันล้านบาท พร้อมรุกธุรกิจโรงแรมและคลังสินค้าเพื่อสร้างรายได้ประจำและลดพึ่งที่อยู่อาศัยเพียงด้านเดียว โดยยังคงโฟกัสที่ตลาดบ้านลักชัวรี
นอกจากนี้ เสนา ดีเวลลอปเม้นท์ ก็ได้ได้เปิดตัวโมเดล LivNex เช่าออมบ้าน โครงการสร้างเพื่อการเช่า-ออม-ซื้อในอนาคตจริง เพื่อแก้ปัญหาในเรื่องของกำลังซื้อผู้บริโภค และเจาะกลุ่มลูกค้ารายใหม่ที่ต้องการมีบ้านแต่ยังไม่พร้อมผ่อน
กลยุทธ์เหล่านี้ ชี้ให้เห็นว่า สถานการณ์ในปี 2568 แม้จะไม่ใช่ปีแห่งทำเลทอง แต่ตลาดอสังหาฯ ไทยระยะยาวต้องพึ่งพา กลยุทธ์บริหารความเสี่ยง และจะเป็นบทพิสูจน์ให้เห็นว่าผู้ที่มีกลยุทธ์บริหารความเสี่ยงรอบด้าน จะเป็นผู้รอดในสมรภูมิตลาดที่ไม่แน่นอนและผ่านพ้นวิกฤตนี้ไปได้สำเร็จ