อสังหาฯ -ก่อสร้าง ชี้ เครติตทางการค้า สะเทือน เอสเอ็มอีช่วงเศรษฐกิจตึงตัว
ภาวะเศรษฐกิจตึงตัว มีผลกระทบต่อ ความเชื่อมั่นในธุรกิจ โดยเฉพาะภาคอสังหาริมทรัพย์ อุตสาหกรรมก่อสร้าง ตัวแทนจำหน่วยวัสดุก่อสร้าง อาจให้เครติตทางการค้า (Trade Credit) ลดลง หรือเรียกรับเงินสดจากความไม่ไว้วางใจในสถานการณ์ ที่อาจมีผลต่อสภาพคล่องธุรกิจ
ต่อเรื่องนี้ ดร.อาภา อรรถบูรณ์วงศ์, ประธานกรรมการบริษัท ริชี่เพลช 2002 จำกัด (มหาชน) หรือ RICHY เปิดเผย”ฐานเศรษฐกิจ”ว่า บริษัทไม่มีผลกระทบ เครติตทางการค้าเนื่องจาก จ่ายตรงเวลา ไม่มีเงื่อนไข หรือ ใช้เงินสด จึงสามารถเดินหน้าธุรกิจอย่างไม่สะดุด ในทางกลับกันหากรายใดมีความล่าช้า อาจถูกปรับลดเวลาลง เช่น จาก 90วันอาจเหลือ 30วัน เพื่อต้องการเช็กสภาพคล่องสุขภาพการเงินของผู้ประกอบการไปในตัวเพื่อความอุ่นใจ
อย่างไรก็ตามการสั่งจ่ายสินค้า โดยเฉพาะวัสดุก่อสร้าง วัสดุตกแต่ง กระเบื้อง กระจก ฯลฯ มีหลายรูปแบบ ทั้งเงินสด การวางมัดจำ เพื่อผลิตที่เหลือจ่ายตามช่วงงานวันเวลาที่กำหนด แต่หากรายใดมีสภาพคล่องลดลง เคยให้เครดิต 1-2เดือนอาจลดลงเหลือเพียง1เดือน ซึ่งส่วนใหญ่จะพบมากสำหรับธุรกิจขนาดกลางและขนาดเล็ก หรือโครงการอสังหาริมทรัพย์รายเล็ก ส่วนบริษัทรายใหญ่ในตลาดหลักทรัพย์มักสั่งสินค้ากับผู้ผลิตรายเดิม ที่ไว้เนื้อเชื่อใจกัน ไม่ให้เสียเครดิต ที่สำคัญหากมองว่าตลาดไม่ดีส่วนใหญ่จะชะลอโครงการออกไป
อย่างไรก็ตามตลาดอสังหาริมทรัพย์ในภาพรวมยังไม่ค่อยดีนัก บริษัทได้ขยายการลงทุนไปที่ธุรกิจท่องเที่ยว ช้อปปิ้ง ซึ่งมองว่าแม้จะมีปริมาณลดลงแต่ยังมีโอกาสที่ดีกว่าตลาดอสังหาริมทรัพย์ สะท้อนจากบิรษัท ชะลอโครงการที่อยู่อาศัยลงและให้ความสำคัญกับธุรกิจโรงแรมรวมถึงช้อปปิ้งมอลล์ย่านสุขุมวิท หรือนานาเหนือ ซึ่งตลาดไปได้ดีส่วนใหญ่เจาะกลุ่มนักท่องเที่ยว แถบยุโรปและ ตะวันออกกลาง เป็นหลักส่วนจีนจะไม่มาก แต่เป็นกลุ่มนักท่องเที่ยวไต้หวัน ฮองกงเป็นต้น
เช่นเดียวกับแหล่งข่าวในแวดวงอุตสหากรรมก่อสร้างระบุว่า ธุรกิจรับเหมาก่อสร้างได้รับผลกรทบจากสถาบันการเงินไม่ปล่อยกู้ มีผลต่อสภาพคล่อง ดังนั้นการทำงานภาครัฐต้องมีมาตรการสนับสนุน รวมถึงค้ำประกันค่าใช้จ่ายล่วงหน้าให้ก่อน โดยเฉพาะผู้รับเหมารายเล็กหรือธุรกิจเอสเอ็มอี ไม่เช่นนั้นอาจล้มหายตายจากและผลที่ตามมาภาครัฐได้รับความเสียหายจากความล่าช้าของโครงการ