‘รังสิมันต์’ ค้านล้อมรั้วปราสาทตาเมืองธมหวั่นสถานการณ์บานปลาย!
'โรม' มองไม่ควรทำรั้วล้อมปราสาทตาเมืองธม เหตุอาจเป็นข้ออ้างให้ฝ่ายกัมพูชานำไปสู่การปะทะ-พาไทยไปสู่ศาลโลก เสนอยกระดับปราบคอลเซ็นเตอร์ ชี้ 'รัฐบาล' ต้องวางยุทธศาสตร์ให้ชัด-มีแนวทางอย่างไรแน่
17 ก.ค. 2568 - นายรังสิมันต์ โรม สส. บัญชีรายชื่อ และรองหัวหน้าพรรคประชาชน ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการความมั่นคงแห่งรัฐ กิจการชายแดน ยุทธศาสตร์ ชาติ และการปฏิรูปประเทศ สภาผู้แทนราษฎร ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีพิพาทชายแดนไทย-กัมพูชา ว่า เรายังติดตามเรื่องนี้อย่างใกล้ชิด เรื่องคลิปเสียงก็ยังไม่ยอมแพ้ ซึ่งคงจะต้องมีการหารือภายในกรรมาธิการฯ อีกครั้งหนึ่งว่า จะมีแนวทางอย่างไร มองว่า เรื่องคลิปเสียงเป็นหนึ่งในกุญแจสำคัญ ที่เราควรจะต้องได้รับความชัดเจน เพราะเป็นเรื่องใหญ่ขนาดนี้ แต่รัฐบาลยังไม่ให้ความร่วมมือ แล้วกับเรื่องอื่นๆ เราจะหวังพึ่งความร่วมมือได้อย่างไร ย้ำว่า เรื่องคลิปเสียงเป็นหนึ่งในประเด็นที่จะต้องคลี่คลาย
นายรังสิมันต์ กล่าวถึงแนวทางในการแก้ปัญหา ที่ปัญหาขณะนี้มีความซับซ้อนมากขึ้นเรื่อยๆ ทั้งเรื่องด่านชายแดน การยุติความขัดแย้งระหว่างของสองประเทศให้กลับไปสู่สถานะเดิมที่ทั้งสองฝ่ายพึงมีต่อกัน ซึ่งก็ต้องยอมรับว่า นี่ไม่ใช่เรื่องที่ง่ายแล้ว การจะทำให้ด่านชายแดนกลับไปอยู่ในสภาพเดิมที่มีการค้าขายกันได้นั้น วันนี้เรายังไม่เห็นความชัดเจนว่า จะมีแนวทางอย่างไร ซึ่งก็คงจะโทษรัฐบาลอย่างเดียวไม่ได้ แต่ต้องยอมรับว่าทางกัมพูชาก็มีประเด็นปัญหาแบบนี้
ดังนั้น ข้อแนะนำถึงรัฐบาลในการคลี่คลายและทำให้เกิดการพูดคุยให้กลับมาเป็นเหมือนเดิมได้นั้น มองว่า ต้องนำไปสู่การยกระดับที่สำคัญคือ การปราบปรามแก๊งคอลเซ็นเตอร์ หากปัญหาเรื่องนี้จบลง ทุกฝ่ายก็คงจะอยากพูดคุยเรื่องการค้าขายที่ปกติมากขึ้น แต่หากจะไปรอให้เกิดการปราบปรามอย่างรวดเร็ว หรือเด็ดขาด ก็ต้องยอมรับว่า ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะจบแบบนั้น การพูดคุยระหว่างทั้งสองประเทศจึงจำเป็นต้องมี แม้ฝ่ายกัมพูชาจะอาจจะไม่ได้มีมุมมองแบบเดียวกัน แต่เราก็ยังจำเป็นที่จะต้องมีการพูดคุยกับประเทศอื่นๆ ให้มากขึ้น เพื่อทำให้ปัญหาเรื่องแก๊งคอลเซ็นเตอร์มีผลในเชิงความก้าวหน้าที่มีความรวดเร็วมากยิ่งขึ้น และกัมพูชาก็จะได้เข้ามาพูดคุยกับเราเป็นปกติ ส่วนเราเองก็จะมีข้อได้เปรียบในการพูดคุยเรื่องต่างๆ
เช่น ขณะนี้คนยังไม่สามารถเข้าออกได้ ส่วนเรื่องน้ำมันก็ยังไม่กระทบเท่าไหร่ แต่เรื่องสินค้าที่มีข้อจำกัดอยู่ จะสามารถนำเข้าออกได้หรือไม่ รวมถึงเรื่องการเกษตร ที่ทั้งสองประเทศต่างได้รับผลกระทบ ตลอดจนเรื่องแรงงาน ซึ่งส่วนใหญ่ไทยจะใช้แรงงานของกัมพูชา จะมีวิธีการอย่างไรในการแก้ไขปัญหาเรื่องนี้ เชื่อว่า เรามีแนวทางในการแก้ปัญหา แต่อยู่ที่ว่ารัฐบาลจะจริงจังในการแก้ไขปัญหามากน้อยแค่ไหน
เมื่อถามถึงกรณีที่ ฮุน มาเนตออกมาประกาศจะกวาดล้างแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ไทยจะมีส่วนร่วมในเรื่องนี้อย่างไรบ้าง นายรังสิมันต์ กล่าวว่า หากฝ่ายกัมพูชาต้องการที่จะปราบปราม ตนมองว่าฝ่ายไทยต้องรีบเชื้อเชิญ เพื่อดึงกัมพูชามาช่วยในการปรับปรามจริงจัง วันนี้เรารู้พิกัดหมดแล้ว การวัดความสำเร็จง่ายมาก ก็ต้องดูว่าจำนวน 50-60 พิกัดนั้น มีการปราบปรามหรือไม่ รวมไปถึงอาจจะมีการออกหมายจับเพิ่มเติมในบรรดาแก๊งคอลเซ็นเตอร์ต่างๆ ซึ่งก็ต้องดูว่าทางกัมพูชาจะมีการส่งตัวให้หรือไม่ สิ่งเหล่านี้ เป็นหนึ่งในกระบวนการที่จะสามารถทำได้ ตลอดจนความร่วมมือในการสร้างปฏิบัติการร่วม โดยให้กัมพูชาเป็นหัวหอก เนื่องจากเป็นพื้นที่ในประเทศเขา และให้ฝ่ายไทยมีตัวผู้ประสานงาน หรือสนับสนุนในเชิงข้อมูล ก็สามารถทำได้เช่นเดียวกัน หากฝ่ายกัมพูชาจริงใจ กระบวนการเหล่านี้ก็สามารถเกิดขึ้นได้
เมื่อถามถึงกรณีที่นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ระบุ จะมีการเรียกทูตกลับมา หากไปถึงขั้นลดระดับความสัมพันธ์ จะทำให้ปัญหาบานปลายหรือไม่ นายรังสิมันต์ ระบุว่า ตอนแรกตนเคยประเมินว่าการเรียกทูตกลับมาจะเกิดขึ้นก่อนหน้านี้ แต่เมื่อสถานการณ์ไม่ได้มีการไตร่ายระดับที่สูงขึ้น ก็ต้องตอบคำถามให้ชัดว่า ทำไมจึงต้องเป็นเวลาดังกล่าว ทำไมไม่มีการเรียกทูตเกิดขึ้นก่อนหน้า
ขณะเดียวกัน รัฐบาลก็ต้องคิดเหมือนกันว่า หากจะต้องมีการพูดคุยเจรจากัน เพื่อหาทางออก ในกรณีที่ไม่มีทูตแล้ว จะทำกันอย่างไร มองว่า หลายๆ ส่วน ของรัฐบาลค่อนข้างช้าในการแสดงออก ไม่ว่าจะเป็นการประท้วง หรือการเรียกทูต ก็ต้องยอมรับว่า ช้าจริงๆ
ในสถานการณ์ภาพรวมทั้งหมด ตนจึงยังแปลกใจว่า วันนี้รัฐบาลกำลังทำอะไร เพราะรัฐบาลควรมียุทธศาสตร์ที่ชัดเจนว่า ตกลงแล้วรัฐบาลต้องการอะไร จะเดินไปสู่เป้าหมายแบบไหน เอาให้มันชัดเจน เพราะหากรัฐบาลไม่รู้ตัวเอง ตนมองว่า จะมีปัญหาในการแก้ปัญหาวิกฤตนี้มากๆ
เมื่อถามว่ากรณีนี้อาจเกี่ยวข้องกับการที่นางสาวแพทองธาร ชินวัตร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม ซึ่งถูกสั่งให้หยุดปฏิบัติหน้าที่ในฐานะรัฐมนตรีหรือไม่ นายรังสิมันต์ กล่าวยอมรับว่า ส่วนหนึ่งเป็นอย่างนั้น ในส่วนรูปแบบการที่นายกรัฐมนตรีถูกปฏิบัติหน้าที่ ไม่ใช่เพียงแค่การหยุดปฏิบัติหน้าที่ แต่เป็นการรอคอยว่าศาลรัฐธรรมนูญจะว่าอย่างไร ซึ่งทำให้ความเชื่อมั่นและความรู้สึกของประชาชน หรือแม้กระทั่งต่างชาติที่มองมา ดูแล้วมีความเป็นได้มาก ที่นางสาวแพทองธาร อาจไม่ได้เป็นนายกรัฐมนตรีอีกแล้วในวันข้างหน้า ซึ่งจุดนี้ทำให้เกิดปัญหาว่า การเมืองขาดเสถียรภาพ แม้รัฐบาลพรรคเพื่อไทยจะพยายามเดินหน้าต่อไป ไม่สน ไม่แคร์ อะไรทั้งสิ้น แต่ก็ทำให้เกิดปัญหาเช่นเดียวกันว่า ในแง่ของความชอบธรรม ของการแก้ไขวิกฤตต่างๆ ก็ไม่มี
สำหรับเรื่องเนื้อหา ต้องยอมรับว่า การที่นางสาวแพทองธารไม่ตอบคำถามกรณีคลิปเสียง การปราศจากคำขอโทษที่จริงใจต่อประชาชนไทย และวิธีการสื่อสารอื่นๆ ที่ผิดพลาดมาโดยตลอด ตนมองว่า นี่ทำให้วิจิตของเราขยายใหญ่โต จนสุดท้าย คนเริ่มงงว่า ตกลงแล้วเราและกัมพูชาทะเลาะกันเรื่องอะไร และเกิดปัญหาต่อไปอีกว่า ตกลงแล้วสิ่งที่ทำอยู่ จะนำไปสู่อะไร
นายรังสิมันต์ ย้ำว่า มาตรการทั้งหมดที่เกิดขึ้น สุดท้ายกลายเป็นเราแค่บีบเขา โดยใช้การค้าชายแดนเป็นตัวตั้ง แต่ไม่ได้แก้ปัญหาจริงๆ เราไม่ได้เห็นเลยว่า หากรัฐบาลต้องการปราบปรามแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ก็ไม่ได้เห็นว่ามีการจัดการจริงจัง เพราะไปโฟกัสแค่ตรงบริเวณชายแดนอย่างเดียว ซึ่งไม่ใช่ทางออกของเรื่องทั้งหมด
เมื่อถามว่าเห็นด้วยหรือไม่กับข้อเสนอให้สร้างรั้วรอบปราสาทตาเมือนธม นายรังสิมันต์ กล่าวว่า เราไม่มีความจำเป็นต้องเพิ่มเชื้อไฟ ถ้าเราทำรั้ว เราจะทำไปทำไม ซึ่งถ้าเราทำรั้ว ทางกัมพูชาก็จะใช้จุดนี้ทำให้เกิดการปะทะ ถ้าปะทะกันกันก็จะมีโอกาสที่กัมพูชาจะใช้จุดนี้นำไปสู่ศาลโลก ตนจึงคิดว่าไม่จำเป็นต้องมีการเติมเชื้อไฟ
เมื่อถามต่อว่าเรื่องการทำรั้ว มีการเรียกร้องเพราะทหารกัมพูชาขึ้นมาปลุกปั่นบ่อยครั้ง นายรังสิมันต์ กล่าวว่า ต้องดูก่อนว่าตกลงเราต้องการอะไร ถ้าเราต้องการให้กัมพูชาพาเราไปศาลโลก เราอาจจะทำแบบนั้นก็ได้ แต่ถ้าต้องการให้ชายแดนกลับมาสู่ปกติ และเราพยายามที่ทำให้ประเทศต่างๆ ทั่วโลก มองปัญหาที่แท้จริงว่ากัมพูชาต้องการยั่วยุ เป็นแลนด์ออฟสแกมเมอร์ วิธีการที่จะวางตัว กำหนดท่าทีและแนวทางต่างๆ ต้องใจเย็นๆ ไม่ควรไปเพิ่มจุดอะไรต่างๆ ที่ทำให้เกิดการปะทะกัน ปะทะเมื่อไหร่ คือสิ่งที่กัมพูชาอยากได้ กัมพูชาไม่ได้แคร์ชีวิตทหาร ไม่ได้สนใจว่าชีวิตประชาชนจะเป็นอย่างไร เขาสนใจแต่เป้าหมาย คือพาประเทศไทยไปสู่ศาลโลก กัมพูชาถือว่าชนะแล้ว
ส่วนกรณีล่าสุดที่ทหารไทยไปเหยียบกับระเบิด นายรังสิมันต์ กล่าวแสดงความเสียใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เพราะไม่ใช่เพียงทหารที่ได้รับผลกระทบ แต่รวมถึงครอบครัวที่มีความเป็นห่วง ซึ่งไม่อยากให้มีสถานการณ์เช่นนี้ ไม่อยากให้มีใครบาดเจ็บจากเหตุการณ์นี้เลย เราคงต้องติดตามต่อไปว่าที่มาที่ไปของเหตุไปถูกับระเบิด รายละเอียดเป็นอย่างไร เบื้องต้นตนติดตามเรื่องนี้อย่างใกล้ชิด คงจะได้มีการหารือกับทางกองทัพต่อไป