‘อิ๊งค์’ แถลงเดือด แฉกัมพูชาไม่พอใจไทยปราบแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ชนวนเหตุปะทะชายแดน
เมื่อวันที่ 26 ก.ค. เวลา 15.30 น. ที่ กระทรวงวัฒนธรรม น.ส.แพทองธาร ชินวัตร รมว.วัฒนธรรม แถลงภายหลังการประชุมร่วมกับผู้บริหารกระทรวงวัฒนธรรม (วธ.) และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ว่า ตนย้ำและยืนยัน แถลงการณ์ของรัฐบาล เราถือว่าเป็นอาชญากรสงครามขั้นรุนแรง ซึ่งวิธีการต่างๆ ก็ขัดต่อหลักสันติวิธีของกฎหมายระหว่างประเทศและก็ขัดในหลักมนุษยธรรมที่ประเทศไทยได้ปฏิบัติมาตลอด อย่างไรก็ตาม สถานการณ์ความรุนแรงเป็นสิ่งที่รัฐบาลเน้นย้ำมาตลอดว่าไม่อยากให้เกิดขึ้น และสิ่งที่สำคัญที่สุดคือชีวิตของพี่น้องประชาชนเป็นสิ่งที่เรายึดถือและพยายามถึงที่สุด ไม่ให้มีการเกิดการเสียเลือดเสียเนื้อ จนฝั่งกัมพูชาได้มีการยิงก่อนตั้งแต่วันที่ 24 ก.ค. ที่ผ่านมา และมีสำนักข่าวต่างประเทศหลายช่องทางตั้งข้อสังเกตว่า จริงๆ แล้วเรามีหลักฐาน มีดิจิทัลฟรุตพรินต์ ต่างๆ ที่สามารถรู้ได้ว่าใครเริ่มก่อนเริ่มหลัง และมีข้อสังเกตที่สื่อต่างชาติได้ตั้งข้อสังเกตว่าวันนั้นนักเรียนของเราตามจังหวัดชายแดนยังไปโรงเรียนตามปกติ แต่ของกัมพูชาไม่ได้ไป สั่งให้หยุด เรื่องนี้ต้องดูข้อมูลเพิ่มเติมว่าจริงหรือไม่ จริงอย่างไร ซึ่งตนได้ฟังข่าวต่างประเทศมา มีการตั้งข้อสังเกตในเรื่องนี้ ถ้าของไทยรู้ว่าจะยิง เราก็คงต้องแจ้ง แต่ทางกัมพูชารู้หรือไม่ว่าจะมีการยิงเกิดขึ้น และเด็กนักเรียนถึงหยุดเรียนกัน
น.ส.แพทองธาร กล่าวต่อไปว่า แม้ว่าตนจะปฏิบัติหน้าที่นายกรัฐมนตรีไม่ได้ แต่ก็ได้มีการรับฟังและอัปเดตเรื่องราวต่างๆ อย่างใกล้ชิดและมีความเป็นห่วงอยู่เหมือนเดิม พยายามติดตาม ซึ่งจากที่มีโอกาสอัปเดตกับ พล.อ.ณัฐพล นาคพาณิชย์ รมช.กลาโหม ซึ่งท่านได้เน้นย้ำถึงอาวุธยุทโธปกรณ์ต่างๆ ของไทย มีความพร้อม ซึ่งการที่เราใช้ F-16 ไป เป็นการตอบโต้ เพราะกัมพูชามีการยิงเข้ามาถึงแหล่งชุมชนที่มีทั้งลูกเด็กเล็กแดงอยู่ เกิดผลกระทบต่อชีวิตจริงๆ ซึ่งทางกองทัพก็ได้ตกลงในเรื่องนี้และคุยกันเรื่องนี้ ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม ทุกกลไกสิ่งที่เกิดขึ้นต่อไป รัฐบาล กองทัพ และฝ่ายความมั่นคง มีการประสานงานกันอย่างต่อเนื่องและดูเรื่องนี้อย่างรอบคอบทุกขั้นตอน ถ้าถามว่าเหตุการณ์จะเป็นยังไงต่อ ก็ต้องปล่อยให้ทางหน้างานลองดูว่าจะเป็นยังไงต่อ ซึ่งแน่นอนว่าเราก็ต้องพยายามให้ถึงที่สุดที่ปกป้องอธิปไตยของเรา เพราะเราไม่เคยเริ่มก่อน และยืนยันตลอดหลายเดือนที่ผ่านมาว่าไม่ต้องการความรุนแรง แต่เมื่อความรุนแรงมาถึง เราต้องสู้ไม่ถอยเช่นกัน คือสิ่งที่รัฐบาลและกองทัพคุยกัน และเน้นย้ำว่าไม่ต้องห่วงในสิ่งนี้ เราไม่ถอยและจะสู้เต็มที่
น.ส.แพทองธาร กล่าวด้วยว่า นอกจากนี้ทางกระทรวงการต่างประเทศได้แสดงหลักฐานความไม่ชอบธรรมของทางกัมพูชา ที่ละเมิดสนธิสัญญาหลักกฎหมายระหว่างประเทศ หลักสิทธิมนุษยชน และความไร้มนุษยธรรมอย่างร้ายแรง ไม่ว่าจะเป็นการลักลอบวางระเบิด ซึ่งก่อนหน้าที่จะมีปัญหา เราได้มีการลาดตระเวนระเบิดเก่าๆ ร่วมกันทั้งสองประเทศ ทั้งไทยและกัมพูชาและหยุดไป จากนั้นทหารของไทยได้รับบาดเจ็บ ซึ่งได้ตรวจสอบว่าเป็นระเบิดที่มีการวางใหม่ ถือเป็นการผิดหลักมนุษยชน และกฎระหว่างประเทศอย่างยิ่ง ไม่มีประเทศไหนที่ทำกันแบบนี้ โดยจริงๆ แล้วกระทรวงการต่างประเทศมีหลักฐานครบถ้วน ได้มีการแจ้งไปทุกที่ทั่วโลกได้รับทราบ และมีการยืนยันจากสื่อหลายๆ ประเทศ ที่เชื่อกับสิ่งที่เราพูดความจริงมาโดยตลอด และยืนยันในจุดยืนตลอดว่าเราไม่ต้องการความรุนแรง ในสิ่งที่พิสูจน์ได้ว่าความรุนแรงนี้ถูกเริ่มจากทางกัมพูชาร้อยเปอร์เซ็นต์
รมว.วัฒนธรรม กล่าวอีกว่า สถานการณ์นี้ ตนสนับสนุนให้คนไทยเกิดความสามัคคีกับคนในชาติ วันนี้เราทะเลาะในประเทศถึงระดับหนึ่งแต่เราต้องรักกัน และทะเลาะกับคนนอกประเทศก่อน ถ้าเหตุการณ์สงบสุขเมื่อไหร่ ความขัดแย้งในประเทศยังรอได้ แต่วันนี้ รอไม่ได้แล้วที่เราต้องร่วมมือกันทุกฝ่ายทุกภาคส่วน ต้องให้กำลังใจซึ่งกันและกัน ตรงนี้สำคัญที่สุด ตนเชื่อว่าคนไทยรักคนไทยเองอย่างมาก และในเรื่องของคำครหามากมายที่ตอนนี้วิถีทางการเมืองพยายามใช้ปลุกปั่นให้เกิดความเกลียดชังก็ต้องรอเช่นกัน โดยเฉพาะเรื่องสองตระกูลทะเลาะกัน ซึ่งสิ่งที่เกิดขึ้นหลายเดือนที่แล้ว ตนได้มีการปราบแก๊งคอลเซ็นเตอร์ อย่างจริงจังและได้ผลจริง ซึ่งแก๊งคอลเซ็นเตอร์ที่โทรฯ หาประชาชนลดลงอย่างเห็นได้ชัด และค่าความเสียหายประเมินเป็นตัวเลขที่เยอะมาก คนไทยที่เคยถูกหลอกจนสิ้นเนื้อประดาตัว บางคนอยากจะจบชีวิตลง และมีที่ต้องจบชีวิตไปแล้ว เพราะต้องเสียตังค์ให้กับแก๊งคอลเซ็นเตอร์เตอร์ ถูกหลอกเงินหายจากบัญชีอย่างรวดเร็ว ซึ่งตนได้ปราบเรื่องนี้จริงจัง โดยได้ประสานกระทรวงมหาดไทย ตัดไฟตั้งแต่ชายแดนลาวและเมียนมา และทั้งสามประเทศได้มีการทำไตรภาคีร่วมกันในการปราบปรามอย่างจริงจัง
“ดิฉันเกิดความสับสน ซึ่งในตอนนั้นไทยกับกัมพูชา ยังมีการติดต่อกันอยู่ ในความสัมพันธ์ส่วนตัว ถูกรับแจ้งมาจากคนที่แปลว่าโกรธดิฉัน ว่าทำไมไม่มีการปรึกษาเรื่องนี้กับกัมพูชา ซึ่งตอนนั้นดิฉันได้คุยกับเมียนมาและลาว เพราะเกิดขึ้นตรงนั้น และมีไปทางกัมพูชาด้วย ซึ่งดิฉันได้โทรฯ ไปคุย ซึ่งตอนนั้นยังไม่โดนอัดคลิป ไม่ทราบว่าจะเสียผลประโยชน์หรือไม่ ซึ่งเป็นสิ่งที่ดิฉันไม่ทราบจริงๆ การปราบแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ยาเสพติดและอาชญากรรมออนไลน์ เป็นสิ่งที่ตั้งใจ เป็นนโยบายของรัฐบาลอยู่แล้ว ดิฉันก็ต้องทำ ซึ่งดิฉันไม่ทราบว่าเกิดอะไรขึ้น คุยกันแล้วว่า ทำไมไม่ทำกับร่วมกับกัมพูชาด้วย หลังจากเข้า ครม. แล้ว ซึ่งจะบวกกัมพูชาเข้าไปด้วย แต่ก็ไม่ให้นำมาร่วมด้วย จึงเกิดไตรภาคีระหว่างสามประเทศเช่นเดิม” น.ส.แพทองธาร กล่าว
น.ส.แพทองธาร กล่าวอีกว่า พอกลับนึกย้อน ก็ทราบว่า มันก็เป็นการแสดงความไม่พอใจตั้งแต่ตอนนั้น ซึ่งตนก็ไม่คิดว่า เป็นการไม่พอใจในการปราบคอลเซ็นเตอร์หรือไม่ เพราะไม่เคยทราบเลยว่าจะมีประเทศใดไม่พอใจในการปราบแก๊งคอลเซ็นเตอร์ เพราะเมื่อประชาชนในชาติถูกหลอกและรัฐบาลเข้ามาช่วย นั่นคือสิ่งที่ดีไม่ใช่หรือ ก็เลยทำให้รู้สึกว่า เราคงไปขัดผลประโยชน์บางอย่างหรือไม่ จนอาจจะทำให้เกิดเรื่องแบบนี้เกิดขึ้น ตนก็ไม่แน่ใจจริงๆ ไม่ว่ารัฐบาลที่เข้ามา ไม่ว่าจะเป็นตระกูลชินวัตรหรือไม่ ก็ต้องปราบเรื่องนี้ เพราะเรื่องนี้ส่งผลกระทบต่อพี่น้องคนไทย มันจึงเป็นสิ่งสำคัญที่จะต้องปราบเช่นเดียวกับยาเสพติด ซึ่งเรื่องคอลเซ็นเตอร์ดูดเงินไปหลายบัญชีเสียหายไปหลายล้านบาท ข่าวมีไม่เว้นแต่ละวัน ไม่ทำก็ไม่ได้ ซึ่งอาจจะเป็นต้นเหตุที่ทำให้ เกิดหลายเรื่องต่อมา
รมว.วัฒนธรรม กล่าวต่อไปว่า ในส่วนกระทรวงวัฒนธรรม ขอสำนึกในพระมหากรุณาที่คุณอย่างหาที่สุดไม่ได้ที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี ทรงห่วงใยกำลังพลและราษฎรในพื้นที่ชายแดนไทยและกัมพูชา ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อม ทรงรับผู้เสียชีวิตและผู้บาดเจ็บทุกราย จากเหตุการณ์ความไม่สงบในพื้นที่ดังกล่าวไว้ในพระบรมราชาประชานุเคราะห์ ยังปลาบปลื้มในพระมหากรุณาธิคุณอย่างหาที่สุดมิได้ ต่อครอบครัวผู้สูญเสียและผู้ได้รับบาดเจ็บตลอดจนพสกนิกรไทยทั่วประเทศ โดยในส่วน วธ. ได้มีการสั่งการ 2 ข้อ ในเรื่องแรกในเรื่องงานพิธีการศพที่ได้รับพระราชทานในฐานะหน่วยงานที่รับผิดชอบดูแลดำเนินการพิธีการส่งได้พระราชทาน โดยจะปฏิบัติตามหมายรับสั่งจากสำนักพระราชวัง ด้วยความสมเกียรติและถูกต้องตามโบราณราชประเพณี และภารกิจสนับสนุนอื่นๆ ที่ได้รับมอบหมายจากจังหวัด อาทิ การดูแลผู้บาดเจ็บ การจัดหาเครื่องอุปโภค บริโภคและสิ่งของจำเป็นร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเยียวยา ฟื้นฟูจิตใจผู้ที่ได้รับผลกระทบ ตลอดจนเจ้าหน้าที่เพื่อประเมินความเสียหายที่เกิดขึ้นตามภารกิจของกระทรวง เช่น โบราณสถานต่างๆ ในพื้นที่ เพื่อประเมินความเสียหายและจัดหางบประมาณโบราณซ่อมแซมต่อไป และแม้ว่าตนจะไม่ได้ปฏิบัติหน้าที่นายกรัฐมนตรีตอนนี้ แต่ก็มีการรับฟังรายงานความใกล้ชิดอยู่เสมอ และในวันที่ 27 ก.ค. ตนจะลงพื้นที่ร่วมกับรัฐมนตรีหลายๆ ท่านด้วย
ผู้สื่อข่าวถามว่า สิ่งที่ น.ส.แพทองธาร บอกว่าปัญหากัมพูชารอไม่ได้ แต่ปัญหาการเมืองรอได้ หมายถึงหากจบปัญหาชายแดน จะปลดชนวนระเบิดการเมืองภายในประเทศด้วยตนเองใช่หรือไม่ น.ส.แพทองธาร กล่าวว่า ตนหมายความว่า หาโอกาสทำร้ายฝั่งตรงข้ามทางการเมืองมาตลอด ตนเข้าใจการเมือง เพราะเคยเป็นฝ่ายค้าน และวันนี้มาเป็นรัฐบาล ตนเข้าใจคู่แข่งมีทุกพื้นที่อยู่แล้ว แต่อยากจะเชิญชวนให้มาปกป้องกันเองก่อน เพราะเราเป็นคนไทยด้วยกัน การที่เราปกป้องตัวเองก่อน ให้เขาเห็นว่าประเทศเราแข็งแรง มันเป็นสิ่งที่ดี เพราะไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น เรารายงานทุกสิ่งทุกอย่าง แต่การจะหาข้อมูลจากกัมพูชา ก็เป็นไปได้ยากเหมือนกัน เพราะเขาคุมสื่อได้หมดหรือไม่ เขาคุมทุกสิ่งทุกอย่างในประเทศเขาทั้งหมดได้หรือไม่ ก็ต่างกันแบบนี้ เพราะจริงๆ แล้ว ประเทศประชาธิปไตย เขาไม่ได้คุมสื่อหรืออะไรแบบนี้ แต่อยากบอกว่าขอให้รายงานสิ่งที่เป็นประโยชน์ให้กับประเทศให้ได้มากที่สุด อยากให้ทุกคนร่วมมือกัน ไม่ได้เกี่ยวกับประเด็นการเมืองมากกว่านี้ การเมืองฝั่งตรงข้าม ฝ่ายค้าน ฝ่ายรัฐบาล สู้กันมาเสมอ เป็นเรื่องปกติของทุกประเทศ แต่เราจะต้องไม่สู้กันเอง จะต้องแข็งแรงเพื่อสู้กับประเทศที่เราเคยคิดว่าเขาเป็นเพื่อน เราต้องสู้ตรงนั้น
ส่วนที่สื่อของกัมพูชานำเสนอภาพของนายกรัฐมนตรีและแม่ทัพภาคที่ 2 ขอให้ประชาชนทั้ง 2 ประเทศจดจำว่า 2 คนนี้ เป็นต้นเหตุของสงคราม นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า เราจะเชื่อในสิ่งที่กัมพูชา เสนออีกนานหรือไม่ อย่างเรื่องของตน เขาโพสต์ปล่อยคลิป แล้วเขาก็มาบอกว่าไม่ได้ปล่อย เขาอาจจะโพสต์รูปสาวสวยๆ แต่บอกว่าไม่ได้โพสต์ก็ได้ แล้วก็บอกว่าไม่ได้ทำทุกอย่าง เขาก็มีฉายาอยู่แล้ว Cambodia มีฉายา ซึ่งทั่วโลกก็ตั้งให้ ตนไม่ได้ตั้งให้ ก็ทราบกันดีอยู่แล้วว่าเป็นแบบนั้น ตนจึงคิดว่าเราต้องมั่นใจ อย่าคิดว่าต้องใช้อารมณ์ ว่าเพราะต้องคนนั้นคนนี้ มันเกิดขึ้นเพราะกัมพูชา และเกิดขึ้นเพราะเราปราบคอลเซ็นเตอร์ มันก็ชัดเจนอยู่แล้ว แต่เราอย่าทำให้ขมุกขมัว มันก็อยู่ที่เรา ซึ่งตนมั่นใจเป็นอย่างยิ่ง ถ้าไม่ใช่ตระกูลชินวัตร เข้ามาทำ ก็ต้องปราบคอลเซ็นเตอร์ ก็ต้องปราบยาเสพติด ปรับอบายมุขเช่นกัน เพราะนี่คือสิ่งที่รัฐบาลต้องทำ ก่อนย้ำว่าตนไม่เสียใจเลยที่ทำการปราบคอลเซ็นเตอร์ เพราะนั่นช่วยคนได้เยอะมาก ฝ่ายความมั่นคงทุกหน่วยทำเรื่องนี้อย่างเต็มที่ ทุ่มเทแรงกายแรงใจ และได้ผลจริงๆ ตนคิดว่าไม่ใช่แค่ประเทศเราไม่เสียใจเรื่องนี้ ทุกประเทศก็คิดแบบนี้ ยกเว้นประเทศที่เสียผลประโยชน์เท่านั้น
เมื่อถามว่าครั้งนี้ถือว่า "ชินวัตร" ช้ำหนักหรือไม่ นายกรัฐมนตรี ยืนยันว่าไม่คิดว่า "ชินวัตร" ช้ำหนัก ในเรื่องนี้เลย เพราะเราทำเพื่อประเทศ การถูกบิดทางการเมือง ถูกใส่ความ ตนจึงอยากให้หยุดเรื่องนี้ก่อน เพราะมันไม่ใช่ เพราะตั้งแต่สมัยที่นายทักษิณ ชินวัตร เป็นนายกรัฐมนตรี ความสัมพันธ์ส่วนตัวดีมาก แต่เมื่อเกิดปัญหาขึ้น นายทักษิณก็เอาเรื่องของประเทศมาก่อนอยู่ดี ไม่มีการบอกว่าเป็นเพื่อนกันไม่ทำร้ายกัน แต่ต้องเอาเรื่องของประเทศก่อน
ส่วนที่พรรคฝ่ายค้านเสนอว่า ให้นำเรื่องสมเด็จฮุน เซน ขึ้นศาลอาญาระหว่างประเทศ ฐานอาชญากรรมสงคราม นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ถือเป็นเรื่องที่ดี ที่ทุกฝ่ายแนะนำเรื่องระหว่างประเทศเข้ามา ซึ่งกระทรวงการต่างประเทศต้องรับไปพิจารณา ว่ามีเรื่องใดที่เหมาะสม หรือควรทำ ซึ่งกระทรวงการต่างประเทศก็ประสานเรื่องนี้อยู่ แต่แผนการในช่วงนี้ขอให้ถามไปยังนายภูมิธรรม เวชยชัย รักษาราชการแทนนายกรัฐมนตรี เพราะตนต้องขอตอบแค่ในส่วนกระทรวงวัฒนธรรม ครั้งนี้เป็นเพียงการเน้นย้ำข้อความของรักษาการนายกรัฐมนตรี ที่แถลงไปเมื่อวานนี้ และอธิบายว่าขณะที่ตนทำหน้าที่นายกรัฐมนตรีเกิดอะไรขึ้น แต่หลังจากนี้ไปคงไม่เหมาะสมที่จะพูดอะไร
ขณะเดียวกันนายกรัฐมนตรียังปฏิเสธการตอบคำถามว่าเหตุปะทะชายแดนไทย-กัมพูชา จะยืดเยื้อออกไปหรือไม่ เนื่องจากขณะนี้มีการขยายวงกว้างพื้นที่การปะทะ มายังภาคตะวันออกบริเวณจังหวัดสระแก้ว และตราด แล้ว