Mattel เปิดตัวบาร์บี้เป็นเบาหวานชนิดที่ 1 เพื่อสะท้อนความหลากหลาย และสนับสนุนเด็กๆ ที่เป็นโรคนี้
Mattel บริษัทผู้ผลิตตุ๊กตาระดับโลก และเป็นผู้สร้างบาร์บี้ (Barbie) ได้เปิดตัว ตุ๊กตาบาร์บี้ตัวแรกที่มีโรคเบาหวานชนิดที่ 1 (T1D) เพื่อสะท้อนความหลากหลายและส่งเสริมให้เด็กๆ ทั่วโลกได้เห็นภาพตัวเองในตุ๊กตาที่พวกเขารัก โดยในสหรัฐอเมริกา มีเด็กและวัยรุ่นถึงประมาณ 304,000 คนที่ป่วยเป็นโรคนี้
โดย Mattel จับมือกับ Breakthrough T1D เป็นองค์กรวิจัยและสนับสนุนโรคเบาหวานชนิดที่ 1 ระดับโลก
คริสตา เบอร์เกอร์ (Krista Berger) รองประธานอาวุโสของ Barbie กล่าวว่า "การเปิดตัวตุ๊กตาบาร์บี้ที่มีโรคเบาหวานชนิดที่ 1 ถือเป็นก้าวสำคัญในความมุ่งมั่นของเราที่จะสร้างความครอบคลุมและการเป็นตัวแทน บาร์บี้ช่วยหล่อหลอมการรับรู้แรกเริ่มของเด็กๆ เกี่ยวกับโลก และด้วยการสะท้อนภาวะทางการแพทย์อย่าง T1D เรามั่นใจว่าเด็กๆ จำนวนมากขึ้นจะสามารถเห็นตัวเองในเรื่องราวที่พวกเขาสร้างสรรค์และตุ๊กตาที่พวกเขารัก"
ตุ๊กตาบาร์บี้รุ่นใหม่นี้มาพร้อมอุปกรณ์ที่จำเป็นสำหรับผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 1 ได้แก่ เครื่องวัดระดับน้ำตาลแบบต่อเนื่อง (CGM) ติดอยู่บนแขนพร้อมเทปรูปหัวใจสีชมพู และมีโทรศัพท์มือถือที่แสดงแอป CGM สำหรับติดตามระดับน้ำตาล เครื่องปั๊มอินซูลิน ติดอยู่ที่เอว เพื่อการให้ยาอินซูลินอัตโนมัติ
โดยบาร์บี้สวมใส่ชุดลายจุดสีฟ้า ที่เป็นสัญลักษณ์สากลของการตระหนักรู้เกี่ยวกับโรคเบาหวาน รวมถึงยังสะพายกระเป๋าสีฟ้าพาสเทล สำหรับพกพาอุปกรณ์หรือของจำเป็น
สำหรับโรคเบาหวานชนิดที่ 1 เป็นภาวะแพ้ภูมิตัวเองที่ตับอ่อนสร้างอินซูลินได้น้อยหรือไม่สร้างเลย ผู้ป่วยจึงต้องรับอินซูลินทดแทนตลอดชีวิต ภาวะนี้มักถูกวินิจฉัยในวัยเด็ก แต่สามารถพบได้ทุกวัย และไม่เกี่ยวข้องกับอาหารหรือวิถีชีวิต
บาร์บี้ที่มีโรคเบาหวานชนิดที่ 1 เป็นการต่อยอดความมุ่งมั่นของ Mattel ในการนำเสนอความหลากหลายในไลน์ Barbie Fashionistas ที่ปัจจุบันคอลเล็กชั่นนี้มีตุ๊กตามากกว่า 175 แบบ ครอบคลุมสีผิว สีตา สีผม รูปร่าง และความพิการต่างๆ เช่น บาร์บี้ตาบอด บาร์บี้ที่มีภาวะดาวน์ซินโดรม มีเครื่องช่วยฟัง ใส่อวัยวะเทียม นั่งรถเข็น รวมถึงบาร์บี้ที่มีภาวะด่างขาว
อาร์จัน ปาเนซาร์ (Arjun Panesar) ผู้ก่อตั้งและซีอีโอของ diabetes.co.uk ย้ำว่า "การมีสิ่งที่เป็นตัวแทนนั้นมีความสำคัญ โดยเฉพาะในวัยเด็ก การเห็นตุ๊กตาบาร์บี้ที่มีโรคเบาหวานชนิดที่ 1 จะช่วยทำให้ภาวะนี้เป็นเรื่องปกติ ลดการตีตรา และแสดงให้เด็กๆ เห็นว่าพวกเขาไม่ได้โดดเดี่ยว"
อ้างอิงจาก