‘เผ่าภูมิ’ รับเศรษฐกิจไทยครึ่งปีหลังแผ่ว บี้นโยบายการเงินเหยียบคันเร่ง หนุนผ่อนเกณฑ์อัดฉีดสินเชื่อ
'เผ่าภูมิ' รับเศรษฐกิจไทยครึ่งปีหลังแผ่ว จากความท้าทายรอบด้าน กระทุ้งนโยบายการเงินเหยียบคันเร่งช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจ เดินหน้าสอดคล้องนโยบายการคลังที่ลุยอัดฉีดมาตรการเต็มสูบ พร้อมโยนแบงก์ชาติพิจารณาความเหมาะสมหั่นอัตราดอกเบี้ย-คุมค่าบาท บี้ผ่อนปรนเงื่อนไขเปิดช่องแบงก์อัดฉีดสินเชื่อเข้าระบบ
9 ก.ค. 2568 - นายเผ่าภูมิ โรจนสกุล รมช.การคลัง กล่าวว่า ยอมรับว่าแนวโน้มเศรษฐกิจไทยในช่วงครึ่งหลังของปี 2568 อาจจะชะลอตัวลงจากช่วงครึ่งปีแรก เนื่องจากมีความท้าทายมากขึ้น ทั้งจากมิติของเศรษฐกิจโลกและปัจจัยภายในประเทศ ดังนั้นจึงต้องเร่งผลักดันมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจต่าง ๆ ออกมาเพื่อโอบอุ้มการเติบโต ไม่ว่าจะเป็นมาตรการจากนโยบายการคลัง จากการเร่งอัดฉีดเม็ดเงิน 1.15 แสนล้านบาท ที่คาดว่าจะเข้าสู่ระบบอย่างมากในช่วงไตรมาส 4/2568 ต่อเนื่องจนถึงไตรมาส 1/2569 และนโยบายการเงิน
ทั้งนี้ ที่ผ่านมาจะเห็นว่านโยบายการคลังมีการดำเนินการอย่างต่อเนื่อง ส่วนนโยบายการเงินก็ต้องดูความเหมาะสม และต้องดูให้สอดคล้องกับนโยบายการคลังด้วย ซึ่งในส่วนของกระทรวงการคลังยังยืนยันว่าจากสถานการณ์เศรษฐกิจในปัจจุบันนั้น ทั้ง 2 นโยบาย ทั้งการเงินและการคลัง จะต้องเหยียบคันเร่งไปพร้อม ๆ กันยายน
“ผมพูดเสมอว่านโยบายการเงินและนโยบายการคลังจะต้องไปด้วยกัน แต่ที่ผ่านมานโยบายการคลังเราเหยียบคันเร่งตลอด และเราก็คาดหวังว่านโยบายการเงินจะมองไปในทิศทางเดียวกัน ส่วนถามว่าสถานการณ์ตอนนี้จำเป็นจะต้องลดอัตราดอกเบี้ยเพิ่มหรือไม่ เรื่องนี้อยู่ที่การพิจารณาของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) และคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) เช่นเดียวกับสถานการณ์ค่าเงินบาท ซึ่งเรื่องนี้มีผลโดยตรงต่อภาคการส่งออก ซึ่งการทำให้ค่าเงินอยู่ในระดับที่เหมาะสมก็เป็นหน้าที่ของ ธปท. และ กนง. จะพิจารณาเช่นเดียวกัน” นายเผ่าภูมิ กล่าว
นายเผ่าภูมิ กล่าวอีกว่า ตามข้อเท็จจริงแล้วนโยบายการเงินไม่ได้มีแค่เรื่องดอกเบี้ยเพียงอย่างเดียว แต่ยังหมายถึงการกระจายเม็ดเงิน กระจายสินเชื่อ กระจายสภาพคล่องเข้าสู่ระบบ ซึ่งหมายรวมถึงการทำให้เงื่อนไขต่าง ๆ ผ่อนปรน ทำให้สถาบันการเงินสามารถมีแรงจูงใจในการกระจายสินเชื่อและสภาพคล่องเข้าสู่ระบบ สะท้อนจากมาตรการ LTV ที่มีการเรียกร้องมานานว่าเงื่อนไขต่าง ๆ เข้มข้นเกินไปสำหรับระบบเศรษฐกิจที่ยังต้องการการกระตุ้น, มาตรการการให้สินเชื่ออย่างรับผิดชอบและเป็นธรรม (Responsible Lending) ที่ต้องดูให้เหมาะสม เพราะบางกรอบเหมาะกับบางช่วงเวลา และบางกรอบก็จะเข้มข้นไปสำหรับบางช่วงเวลา ดังนั้นมองว่าการผ่อนปรนเงื่อนไขต่าง ๆ เหล่านี้ก็เป็นเรื่องสำคัญ
สำหรับเรื่องการเจรจาภาษีสหรัฐฯ นั้น ขณะนี้ยังอยู่ในกระบวนการทำงาน ซึ่งยืนยันว่ารัฐบาลต้องทำให้ดีที่สุด โดยต้องยอมรับว่าก่อนจะมีจดหมายแจ้งการจัดเก็บภาษีนำเข้าในอัตรา 36% จากนายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ นั้น แนวโน้มการปรับเพิ่มประมาณการเศรษฐกิจไทย (จีดีพี) ในปี 2568 มีสูงมาก แต่เมื่อมีเรื่องจดหมายดังกล่วเข้ามา ก็เป็นสิ่งที่ทำให้รัฐบาลต้องมาพิจารณาปัจจัยบวกและลบเพิ่มเติม
“จดหมายจากสหรัฐฯ ดังกล่าวยังไม่ใช่บทสรุป แต่เป็นเพียงสิ่งหนึ่งที่ทำให้เราต้องทำงานกันหนักขึ้น โดยในช่วงสิ้นเดือน ส.ค. 2568 สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) จะมีการปรับประมาณการตัวเลขจีดีพีไทยปี 2568 อีกครั้ง โดยยังต้องรอดูว่าบทสรุปสุดท้ายแล้วตัวเลขภาษีสหรับฯ จะออกมาที่เท่าไหร่ ดังนั้นระหว่างนี้เป็นสิ่งที่รัฐบาลจะต้องทำงานหนักและทำงานอย่างเต็มที่” รมช.การคลัง กล่าว
อย่างไรก็ดี ปัจจุบันรัฐบาลยังมีงบประมาณอีกราว 4 หมื่นล้านบาท ที่เหลือจากการจัดสรรงบกระตุ้นเศรษฐกิจ 1.57 แสนล้านบาท ซึ่งได้จัดสรรไปแล้ว 1.15 แสนล้านบาท โดยงบที่เหลือนี้ต้องมาดูถึงผลกระทบและผลสุดท้ายของเรื่องภาษีสหรัฐฯ ว่าจะรุนแรงขนาดไหน และเม็ดเงินที่เหลือนี้จะกันไว้ลงไปช่วยเหลือในส่วนใดบ้าง เพื่อเป็นการโอบอุ้มเศรษฐกิจไทยให้สามารถต่อสู้กับความท้าทายต่าง ๆ ได้ ต้องมีการพิจารณาในฉากทัศน์ต่าง ๆ อย่างรอบคอบ