โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

ทั่วไป

ฟาบิโอ คันนาวาโร ตำนานปราการหลังบัลลงดอร์ ผู้ปกป้องอธิปไตยในเกมรับอิตาลี

THE STANDARD

อัพเดต 15 ชั่วโมงที่ผ่านมา • เผยแพร่ 15 ชั่วโมงที่ผ่านมา • thestandard.co
ฟาบิโอ คันนาวาโร ตำนานปราการหลังบัลลงดอร์ ผู้ปกป้องอธิปไตยในเกมรับอิตาลี

เบื้องหน้าของเขาคือแนวรุกระดับพระกาฬ ที่ถูกควบคุมและบงการยุทธวิธีในสนามด้วยศิลปินเอกอย่างซีเนอดีน ซีดาน ที่กลับมาโลดแล่นด้วยฟอร์มการเล่นที่ชวนให้นึกถึงวันเรืองรองของเขาอีกครั้ง

ที่สำคัญมันเป็นวันสุดท้ายในฐานะการเป็นนักฟุตบอลอาชีพของ “ซิซู” ด้วย

แต่ไม่ว่า ฝ่ายตรงข้ามจะเป็นใครสำหรับเขาแล้วไม่ใช่เรื่องที่ต้องกังวลสักนิด เพราะงานของเขามีเพียงอย่างเดียวเท่านั้นที่ต้องทำให้สำเร็จ

จะไม่มีวันยอมให้ใครรุกล้ำอธิปไตยในเกมรับผ่านเข้าไปทำประตูได้ง่ายๆ อย่างเด็ดขาด!

และนี่คือตำนานของกองหลังที่ได้รับการยกย่องว่าเก่งกาจที่สุดคนหนึ่งในประวัติศาสตร์ฟุตบอลสมัยใหม่ และเป็นผู้เล่นแนวรับคนสุดท้ายที่ได้รับรางวัลลูกฟุตบอลทองคำ (Ballon d’Or) โดยที่ยังไม่มีกองหลังคนไหนในยุคหลังทำได้อีก

เรากำลังพูดถึง ฟาบิโอ คันนาวาโร คุณยังพอจำชื่อของเขากันได้ไหม?

ถ้าหากชวนคนเฒ่ามาเล่าเรื่องลูกหนังเกี่ยวกับตำนานผู้เล่นกองหลังที่ขึ้นชื่อว่าเก่งกาจและแข็งแกร่งที่สุดนั้น หลายคนอาจจะแปลกใจที่ชื่อแรกๆ ที่ปรากฏขึ้นมาในความทรงจำอันรางเลือนของผู้คนที่ผ่านการเฝ้ามองเกมฟุตบอลมายาวนานคือปราการหลังที่มาจากประเทศอิตาลีเสมอ

โดยเฉพาะ 2 ชื่อที่เป็นความคลาสสิกในระดับร่วมสมัยอย่างฟรังโก บาเรซี ปรมาจารย์ศิลปะเกมรับในยุค 80 และเปาโล มัลดินี แบ็กซ้ายที่ดีที่สุดตลอดกาลของโลกผู้เป็นทายาทในทีมรอสโซเนรี

เรื่องนี้ไม่น่าแปลกใจครับเพราะอิตาลี เป็นประเทศที่เก่งกาจเหลือเกินในเรื่องตำราวิชาเกมรับ เป็นต้นตำรับของฟุตบอลในแบบที่เรียกว่า “คาเตนัคโช” (Catenaccio) ศาสตร์การเล่นฟุตบอลด้วยเกมรับที่เหนียวแน่นแข็งแกร่ง การจะฝ่าเข้าไปทำประตูให้ได้นั้นเป็นเรื่องที่ยากเสียยิ่งกว่ายาก

สิ่งที่หลายคนไม่รู้คือคาเตนัคโช นั้นมีต้นกำเนิดจากแรงบันดาลใจของระบบการเล่นแบบ “Verrou” (โซ่) จากความคิดของคาร์ล รัปพาน ปรมาจารย์ลูกหนังชาวออสเตรียที่คิดค้นในช่วงปี 1950 (ในอดีตเกมฟุตบอลนั้นแต่ละที่จะมีเอกลักษณ์การเล่นที่หลากหลาย และความสนุกคือการคิดค้นแท็คติกหรือสูตรฟุตบอลที่ไว้เอาชนะคะคานกันในสนาม)

แรงบันดาลใจนั้นนำมาสู่สูตรฟุตบอลตำรับอิตาลีแท้โดยเนเรโอ ร็อคโค ที่นำมาใช้ในอิตาลีก่อนจะมีชื่อเสียงโด่งดังจากยุคสมัยอันเรืองรองของทีมอินเตอร์ มิลานในช่วงปี 1960 (เอาไว้มีโอกาสขยายความในภายหลังนะครับ)

ดังนั้นเรียกได้ว่าหัวใจของฟุตบอลอิตาลีคือเกมรับ และนั่นทำให้ศิลปะการเล่นเกมรับของฟุตบอลในดินแดนรองเท้าบูทได้รับการพัฒนาต่อเนื่องมายาวนาน ลีกระดับสูงสุดอย่างกัลโช เซเรีย อา ขึ้นชื่อว่าโหดและหินที่สุดในแง่ของแท็คติกการเล่นที่ไม่ว่าซูเปอร์สตาร์เก่งกาจมาจากไหน การจะแจ้งเกิดให้ได้ในเซเรีย อา เป็นเรื่องยากมหายาก และทำลายขวัญของนักเตะหลายคนที่ดังและคิดว่าเก่งมานักต่อนัก

แต่อิตาลีไม่ได้มีเพียงแค่บาเรซีและมัลดินีเท่านั้น สำหรับแฟนฟุตบอลรุ่นถัดมากองหลังที่ถือเป็น “เสาหลัก” ของวงการคืออเลสซานโดร เนสตา และฟาบิโอ คันนาวาโร

โดยเฉพาะคนหลังที่มีส่วนสำคัญอย่างยิ่งในการพาอิตาลีพลิกคำทำนายคว้าแชมป์ฟุตบอลโลกสมัยที่ 3 ของชาติได้สำเร็จในฟุตบอลโลก 2006 ที่ประเทศเยอรมนี

ในเกมนัดชิงชนะเลิศระดับตำนานที่สนามโอลิมปิกสตาดิโอน ที่กรุงเบอร์ลิน ท่ามกลางนักเตะระดับซูเปอร์สตาร์มากมายในทีมทั้ง ฟรานเชสโก ต็อตติ, อเลสซานโดร เดล ปิเอโร, อัลแบร์โต จิลาร์ดิโน, วินเชนโซ ยาควินตา, อันเดรีย ปีร์โล, จานลูกา ซัมบร็อตตา และอีกมากมาย

คันนาวาโร กองหลังเจ้าของส่วนสูงเพียงแค่ 5 ฟุต 9 นิ้ว คือผู้สวมปลอกแขนกัปตันทีมขึ้นรับก่อนชูโทรฟีสีทองที่แฟนฟุตบอลอัซซูรีทุกคนเฝ้ารอคอยมาอย่างยาวนานนับตั้งแต่การได้แชมป์โลกครั้งล่าสุดเมื่อปี 1982 ที่ประเทศสเปน

โดยตลอดเส้นทางอิตาลี ซึ่งไม่ได้อยู่ในสายตาของบรรดาเกจิลูกหนังมากนักเมื่อเทียบกับบราซิลแชมป์เก่าที่อุดมไปด้วยซูเปอร์สตาร์อย่าง โรนัลโด, โรนัลดินโญ นักฟุตบอลที่เก่งที่สุดในโลกเวลานั้น, โรบินโญ ดาวรุ่งเจ้าของสมญา “นิว เปเล” รวมถึงอาเดรียโน จักรพรรดิลูกหนังและริคาร์โด กากา เทพบุตรลูกหนังที่กำลังไต่ระดับไปสู่จุดสูงสุดของโลก

แต่อิตาลี ภายใต้การนำของจอมซิการ์ มาร์เชลโล ลิปปี กลับสร้างสิ่งมหัศจรรย์ให้เกิดขึ้นได้ด้วยการค่อยๆฝ่าไปทีละด่านจนเข้าสู่รอบชิงชนะเลิศได้สำเร็จ ซึ่งรวมถึงการล่มงานฉลองของชาวเยอรมันชาติเจ้าภาพ ด้วยประตูของฟาบิโอ กรอสโซ ในช่วงต่อเวลาพิเศษของเกมในรอบรองชนะเลิศที่ไม่ยอมเปิดโอกาสให้ “Die Mannschaft” ได้มีโอกาสแก้ตัวอีก

ก่อนที่พวกเขาจะพบกับฝรั่งเศส อดีตแชมป์โลกในปี 1998 ที่เริ่มต้นแบบม้านอกสายตาแต่กลับมาถึงรอบชิงชนะเลิศได้ด้วยมนต์ที่ปลายเท้าของซีเนอดีน ซีดาน ที่กลับมาเริงระบำอย่างเพลิดเพลินในสนามได้อย่างเหลือเชื่อโดยเฉพาะในเกมที่เขาพาทีมชนะบราซิล ซึ่งถือเป็นการโชว์ในระดับ “มาสเตอร์คลาส” เลยทีเดียว

โดยซีดาน ได้เฉลยถึงที่มาของพลังแฝงของกองกลางที่เริ่มโรยราว่านัดชิงชนะเลิศนี้จะเป็นเกมสุดท้ายของเขาในฐานะนักฟุตบอลอาชีพ

แน่นอนว่ามันทำให้แฟนฟุตบอลทั่วโลกจำนวนมากอยากเห็นการปิดฉากที่งดงามที่สุดของหนึ่งในศิลปินลูกหนังที่เก่งกาจที่สุดตลอดกาล (และวันนี้ก็ยังไม่มีใครที่ทำได้แบบเขาอีก)

แต่มันไม่เป็นอย่างนั้น

ในนัดชิงชนะเลิศวันนั้นอิตาลี ต้านทานฝรั่งเศส – ชาติที่เคยหักอกพวกเขาในเกมนัดชิงชนะเลิศยูโร 2000 ด้วยประตูโกลเดนโกลของดาวิด เทรเซเกต์ – ได้อย่างน่าประทับใจ

พวกเขาโดนนำไปก่อนด้วยซ้ำเมื่อเสียจุดโทษและซีดาน ทำประตูจากการยิงจุดโทษในแบบเยือกเย็นที่สุดด้วยการยิงนิ่มแบบ ‘ปาเนนกา (Panenka penalty) ในนาทีที่ 7 แต่ว่าอิตาลีตีเสมอได้ในนาทีที่ 19 จากการโหม่งพังประตูของมาร์โก มาเตรัซซีในอีก 12 นาทีถัดมา

ก่อนที่ฝรั่งเศสจะพยายามอย่างหนัก แต่ก็ไม่สามารถผ่านด่านเกมับของอิตาลีได้เลย

แน่นอนว่าผู้คนจดจำจุดพลิกผันในช่วงการต่อเวลาพิเศษเมื่อซีดาน ซึ่งเกือบจะเป็นฮีโร่เมื่อได้โอกาสโหม่งในช่วงต่อเวลาแต่ติดปลายมือของจานลุยจิ บุฟฟอนในวันนั้น เกิดสติขาดใช้ศีรษะโขกใส่มาเตรัซซี จนโดนใบแดงไล่ออกจากสนาม ปิดฉากชีวิตการเล่นอย่างเจ็บช้ำ

แต่คนที่เป็นผู้บัญชาการปกป้องอธิปไตยในเกมรับช่วยให้อิตาลียื้อเสมอได้จนครบ 120 นาทีก่อนจะชนะในการดวลจุดโทษคือกัปตันทีมอย่างคันนาวาโร ซึ่งผลงานที่เด่นชัดที่สุดคือการที่อิตาลีเสียเพียงแค่ 2 ประตูตลอดทัวร์นาเมนต์ โดยนอกจากการเสียประตูจากการยิงจุดโทษของซีดานในนัดชิงชนะเลิศ อีกลูกคือการทำเข้าประตูตัวเองของคริสเตียน ซัคคาร์โดในรอบแบ่งกลุ่ม

คันนาวาโร ยังต้องทำหน้าที่โดยไม่มีคู่หูแข้งทองของเขาอย่างเนสตาที่โชคร้ายได้รับบาดเจ็บ (เป็นครั้งที่ 3 ติดต่อกันในฟุตบอลโลก) ในเกมสุดท้ายของรอบแบ่งกลุ่มโดยที่ไม่สามารถกลับมาลงสนามได้อีกครั้งด้วย

แชมป์ฟุตบอลโลกในครั้งนั้นมีความหมายอย่างมากสำหรับอิตาลี เพราะเกิดขึ้นในช่วงเวลาเดียวกับที่มีข่าวอื้อฉาวระดับสะเทือนโลกลูกหนังทั้งใบที่เรียกว่า “Calciopoli” ที่มีการทุจริตในระดับร้ายแรงของยูเวนตุส ซึ่งทีมเบียงโคเนรีถูกตัดสินให้ตกชั้น ขณะที่ภาพพจน์ของอิตาลีมัวหมองด่างพร้อยอย่างจากเหตุการณ์ดังกล่าว

แต่ในเวลาเดียวกันมันคือเวลาของการเฉลิมฉลองให้กับกองหลังที่เก่งที่สุดของโลก ที่ได้รับรางวัลลูกฟุตบอลทองคำจากนิตยสารฟรองซ์ ฟุตบอลในเวลาต่อมา

ในฐานะหนึ่งในตำนานกองหลังที่เก่งกาจที่สุดตลอดกาลของโลก

ส่วนตำนานในฟุตบอลโลก 2006 ของเขา มีผู้เรียกขานวา “Il Muro di Berlino” หรือตำนาน “กำแพงเบอร์ลิน” ซึ่งมาจากผลงานระดับมาสเตอร์พีซในช่วงฟุตบอลโลก 2006 นั่นเอง

ความเก่งกาจของคันนาวาโร นั้นเป็นเรื่องที่ชวนพิศวงอยู่ไม่น้อย

นั่นเพราะด้วยรูปร่างของเขาที่สูงไม่ถึง 6 ฟุต อย่าว่าแต่การต่อสู้กับคู่แข่งที่มีรูปร่างสูงใหญ่เลย ลำพังแค่การเอาตัวรอดในเกมฟุตบอลระดับอาชีพก็เป็นเรื่องที่ยากแสนยากแล้ว เพราะด้วยหน้าที่การงานของคนที่เล่นเป็นกองหลังแล้ว มันต้องใช้พละกำลังและร่างกายในการเข้าปะทะ

กองหลังรุ่นพี่อย่างมัลดินี ที่ขึ้นหิ้งไปก่อนนั้นเป็นตัวอย่างของคำว่ากองหลังที่สมบูรณ์แบบ เพราะนอกจากจะมีรูปร่างสูงใหญ่ ช่วงขาที่ยาวทำให้เหยียดและแหย่สกัดบอลได้ง่าย ยังมีความเร็วจัดจ้านอีกด้วย ซึ่งคันนาวาโรไม่มีสิ่งเหล่านี้

แต่นั่นก็เป็นตัวอย่างที่ดีสำหรับใครก็ตามที่เคยคิดว่าตัวเองเกิดมาไม่เพียบพร้อมแล้วจะทำอะไรไม่ได้

สิ่งที่สำคัญที่สุดคือการพยายามหาจุดเด่นของตัวเองและพัฒนาตรงนั้นให้ดีที่สุด ให้กลายเป็นสิ่งที่ไม่มีใครจะทำตามหรือเลียนแบบได้

สำหรับคันนาวาโร เด็กหนุ่มจากเมืองนาโปลี ผู้เคยเป็นเด็กเก็บบอลในวันที่ดีเอโก มาราโดนา ชูถ้วยแชมป์หลังพา “อัซซูรา” พิชิตสคูเด็ตโตได้ที่สนามซานเปาโล เขาชดเชยเรื่องสรีระด้วยความเร็วในการออกตัวช่วงสั้นๆที่จะทำให้เข้าถึงบอลได้เร็วกว่าคนอื่น

ที่เหลือคือทักษะในการเข้าสกัดบอลที่เป็นทั้งศาสตร์และศิลป์ในเวลาเดียวกันของการเล่นเกมรับ พ่วงด้วยการอ่านเกมที่ยอดเยี่ยม

และสิ่งสำคัญที่สุดคือหัวจิตหัวใจที่ห้าวหาญในแบบที่ไม่ใช่ห้าวเป้ง แต่คือการเล่นแบบไม่เกรงไม่กลัวใครไม่ว่าคู่ต่อสู้ของเขาในเกมนั้นจะเป็นใครก็ตาม คันนาวาโร สามารถเกาะติดพัวพันจนทำให้พาลเล่นไม่ออกไปตลอดทั้งเกม

สิ่งเหล่านี้ทำให้เขาพัฒนาจากการเป็นดาวรุ่งในทีมนาโปลี สู่การแจ้งเกิดเต็มตัวกับปาร์มา เป็นดาวเด่นในแผงหลังของทีมร่วมกับลิลิยอง ตูราม ก่อนจะย้ายไปค้าแข้งกับอินเตอร์ มิลาน และยูเวนตุส ซึ่งเป็นช่วงที่ฟอร์มการเล่นพีคที่สุดจนคว้าแชมป์โลกกับอิตาลี แต่ไปจากทีมหลังคดีกัลโชโปลี เพื่อย้ายไปเล่นให้กับเรอัล มาดริด

ก่อนจะกลับมา ยูเว่ อีกครั้งในช่วงสั้นๆและปิดฉากการเล่นกับอัล อาห์ลี ดูไบ ในกาตาร์ในปี 2011

โดยที่หลังจากนั้นแล้วก็ไม่ปรากฏกองหลังคนไหนที่จะได้รับการยกย่องและประสบความสำเร็จในระดับบุคคลเทียบเท่ากับคันนาวาโร ซึ่งเป็นเพียงกองหลังคนที่ 3 ในประวัติศาสตร์ที่เคยได้รับบัลลงดอร์ต่อจาก ฟรานซ์ เบ็คเคนเบาเออร์ (2 สมัย), มัทธีอัส ซามเมอร์ (1 สมัย) อีกเลย

อ้างอิง

ดูข่าวต้นฉบับ
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...

ล่าสุดจาก THE STANDARD

ณัฐพงษ์ชี้ Anti-Drone จำเป็นต่อการรบสมัยใหม่ เชื่อ สส. ทุกพรรคไม่ติดใจพร้อมหนุนงบยุทโธปกรณ์ปกป้องชายแดน

5 ชั่วโมงที่ผ่านมา

รัฐบาลเยียวยาผลกระทบชายแดน เผยจำนวนผู้พักพิงในศูนย์อพยพลดลง สถานพยาบาลได้รับผลกระทบ 20 แห่ง

6 ชั่วโมงที่ผ่านมา

จีน-รัสเซียร่วมซ้อมรบทางทหารในทะเลญี่ปุ่น กระชับสัมพันธ์ทั้งสองประเทศ

6 ชั่วโมงที่ผ่านมา

B-Girl Nutella และ B-Boy Harry Blackrock คว้าชัยในศึก Red Bull BC One Thailand

7 ชั่วโมงที่ผ่านมา

วิดีโอแนะนำ

ข่าวและบทความทั่วไปอื่น ๆ

ไฟฟ้าดับวันนี้ 4-6 ส.ค.นี้ กทม. นนทบุรี สมุทรปราการ อัปเดตที่นี่

ฐานเศรษฐกิจ

อินเดียไม่สนคำขู่ทรัมป์ สั่งซื้อน้ำมันรัสเซียต่อ ด้านมอสโกเริ่มซ้อมรบร่วมกับจีน ในเขตทะเลญี่ปุ่น

Manager Online

ภูเขาไฟรัสเซียปะทุครั้งแรกในรอบกว่า 500 ปี

JS100

แฉทรัมป์‘หมกมุ่น’อยากได้รางวัลโนเบลสันติภาพ เพราะโหยหาเกียรติยศ-ริษยาโอบามา-ลิ่วล้อเชลียร์

Manager Online

สภาพอากาศวันนี้ -9 ส.ค.ไทยฝนน้อย กทม.ฝนฟ้าคะนอง 20 - 40 % ตลอดช่วง

ฐานเศรษฐกิจ

การเตรียมความพร้อมในการกำกับดูแล Financial Hub

ไทยพับลิก้า

หนุ่มวัย 35 ปี ขี่รถจักรยานยนต์ชนกับรถบรรทุกน้ำ เสียชีวิตกลางถนนนครอินทร์ จ.นนทบุรี

สวพ.FM91

อิสราเอลโจมตีสำนักงานสภาเสี้ยววงเดือนแดงในฉนวนกาซา เสียชีวิต 1 บาดเจ็บ 3

JS100

ข่าวและบทความยอดนิยม

ITZY บุกถ่ายรูปนักเตะบาร์ซา เกมถล่ม เอฟซี โซล 7-3

THE STANDARD

ทำไมการเล่นเกม… ถึงทำให้การชมกีฬา สนุกมากขึ้น?

THE STANDARD

Adidas เปิดตัวชุดแข่งลิเวอร์พูล ลุยพรีเมียร์ลีก 2025/26

THE STANDARD
ดูเพิ่ม
Loading...