ฟาบิโอ คันนาวาโร ตำนานปราการหลังบัลลงดอร์ ผู้ปกป้องอธิปไตยในเกมรับอิตาลี
เบื้องหน้าของเขาคือแนวรุกระดับพระกาฬ ที่ถูกควบคุมและบงการยุทธวิธีในสนามด้วยศิลปินเอกอย่างซีเนอดีน ซีดาน ที่กลับมาโลดแล่นด้วยฟอร์มการเล่นที่ชวนให้นึกถึงวันเรืองรองของเขาอีกครั้ง
ที่สำคัญมันเป็นวันสุดท้ายในฐานะการเป็นนักฟุตบอลอาชีพของ “ซิซู” ด้วย
แต่ไม่ว่า ฝ่ายตรงข้ามจะเป็นใครสำหรับเขาแล้วไม่ใช่เรื่องที่ต้องกังวลสักนิด เพราะงานของเขามีเพียงอย่างเดียวเท่านั้นที่ต้องทำให้สำเร็จ
จะไม่มีวันยอมให้ใครรุกล้ำอธิปไตยในเกมรับผ่านเข้าไปทำประตูได้ง่ายๆ อย่างเด็ดขาด!
และนี่คือตำนานของกองหลังที่ได้รับการยกย่องว่าเก่งกาจที่สุดคนหนึ่งในประวัติศาสตร์ฟุตบอลสมัยใหม่ และเป็นผู้เล่นแนวรับคนสุดท้ายที่ได้รับรางวัลลูกฟุตบอลทองคำ (Ballon d’Or) โดยที่ยังไม่มีกองหลังคนไหนในยุคหลังทำได้อีก
เรากำลังพูดถึง ฟาบิโอ คันนาวาโร คุณยังพอจำชื่อของเขากันได้ไหม?
ถ้าหากชวนคนเฒ่ามาเล่าเรื่องลูกหนังเกี่ยวกับตำนานผู้เล่นกองหลังที่ขึ้นชื่อว่าเก่งกาจและแข็งแกร่งที่สุดนั้น หลายคนอาจจะแปลกใจที่ชื่อแรกๆ ที่ปรากฏขึ้นมาในความทรงจำอันรางเลือนของผู้คนที่ผ่านการเฝ้ามองเกมฟุตบอลมายาวนานคือปราการหลังที่มาจากประเทศอิตาลีเสมอ
โดยเฉพาะ 2 ชื่อที่เป็นความคลาสสิกในระดับร่วมสมัยอย่างฟรังโก บาเรซี ปรมาจารย์ศิลปะเกมรับในยุค 80 และเปาโล มัลดินี แบ็กซ้ายที่ดีที่สุดตลอดกาลของโลกผู้เป็นทายาทในทีมรอสโซเนรี
เรื่องนี้ไม่น่าแปลกใจครับเพราะอิตาลี เป็นประเทศที่เก่งกาจเหลือเกินในเรื่องตำราวิชาเกมรับ เป็นต้นตำรับของฟุตบอลในแบบที่เรียกว่า “คาเตนัคโช” (Catenaccio) ศาสตร์การเล่นฟุตบอลด้วยเกมรับที่เหนียวแน่นแข็งแกร่ง การจะฝ่าเข้าไปทำประตูให้ได้นั้นเป็นเรื่องที่ยากเสียยิ่งกว่ายาก
สิ่งที่หลายคนไม่รู้คือคาเตนัคโช นั้นมีต้นกำเนิดจากแรงบันดาลใจของระบบการเล่นแบบ “Verrou” (โซ่) จากความคิดของคาร์ล รัปพาน ปรมาจารย์ลูกหนังชาวออสเตรียที่คิดค้นในช่วงปี 1950 (ในอดีตเกมฟุตบอลนั้นแต่ละที่จะมีเอกลักษณ์การเล่นที่หลากหลาย และความสนุกคือการคิดค้นแท็คติกหรือสูตรฟุตบอลที่ไว้เอาชนะคะคานกันในสนาม)
แรงบันดาลใจนั้นนำมาสู่สูตรฟุตบอลตำรับอิตาลีแท้โดยเนเรโอ ร็อคโค ที่นำมาใช้ในอิตาลีก่อนจะมีชื่อเสียงโด่งดังจากยุคสมัยอันเรืองรองของทีมอินเตอร์ มิลานในช่วงปี 1960 (เอาไว้มีโอกาสขยายความในภายหลังนะครับ)
ดังนั้นเรียกได้ว่าหัวใจของฟุตบอลอิตาลีคือเกมรับ และนั่นทำให้ศิลปะการเล่นเกมรับของฟุตบอลในดินแดนรองเท้าบูทได้รับการพัฒนาต่อเนื่องมายาวนาน ลีกระดับสูงสุดอย่างกัลโช เซเรีย อา ขึ้นชื่อว่าโหดและหินที่สุดในแง่ของแท็คติกการเล่นที่ไม่ว่าซูเปอร์สตาร์เก่งกาจมาจากไหน การจะแจ้งเกิดให้ได้ในเซเรีย อา เป็นเรื่องยากมหายาก และทำลายขวัญของนักเตะหลายคนที่ดังและคิดว่าเก่งมานักต่อนัก
แต่อิตาลีไม่ได้มีเพียงแค่บาเรซีและมัลดินีเท่านั้น สำหรับแฟนฟุตบอลรุ่นถัดมากองหลังที่ถือเป็น “เสาหลัก” ของวงการคืออเลสซานโดร เนสตา และฟาบิโอ คันนาวาโร
โดยเฉพาะคนหลังที่มีส่วนสำคัญอย่างยิ่งในการพาอิตาลีพลิกคำทำนายคว้าแชมป์ฟุตบอลโลกสมัยที่ 3 ของชาติได้สำเร็จในฟุตบอลโลก 2006 ที่ประเทศเยอรมนี
ในเกมนัดชิงชนะเลิศระดับตำนานที่สนามโอลิมปิกสตาดิโอน ที่กรุงเบอร์ลิน ท่ามกลางนักเตะระดับซูเปอร์สตาร์มากมายในทีมทั้ง ฟรานเชสโก ต็อตติ, อเลสซานโดร เดล ปิเอโร, อัลแบร์โต จิลาร์ดิโน, วินเชนโซ ยาควินตา, อันเดรีย ปีร์โล, จานลูกา ซัมบร็อตตา และอีกมากมาย
คันนาวาโร กองหลังเจ้าของส่วนสูงเพียงแค่ 5 ฟุต 9 นิ้ว คือผู้สวมปลอกแขนกัปตันทีมขึ้นรับก่อนชูโทรฟีสีทองที่แฟนฟุตบอลอัซซูรีทุกคนเฝ้ารอคอยมาอย่างยาวนานนับตั้งแต่การได้แชมป์โลกครั้งล่าสุดเมื่อปี 1982 ที่ประเทศสเปน
โดยตลอดเส้นทางอิตาลี ซึ่งไม่ได้อยู่ในสายตาของบรรดาเกจิลูกหนังมากนักเมื่อเทียบกับบราซิลแชมป์เก่าที่อุดมไปด้วยซูเปอร์สตาร์อย่าง โรนัลโด, โรนัลดินโญ นักฟุตบอลที่เก่งที่สุดในโลกเวลานั้น, โรบินโญ ดาวรุ่งเจ้าของสมญา “นิว เปเล” รวมถึงอาเดรียโน จักรพรรดิลูกหนังและริคาร์โด กากา เทพบุตรลูกหนังที่กำลังไต่ระดับไปสู่จุดสูงสุดของโลก
แต่อิตาลี ภายใต้การนำของจอมซิการ์ มาร์เชลโล ลิปปี กลับสร้างสิ่งมหัศจรรย์ให้เกิดขึ้นได้ด้วยการค่อยๆฝ่าไปทีละด่านจนเข้าสู่รอบชิงชนะเลิศได้สำเร็จ ซึ่งรวมถึงการล่มงานฉลองของชาวเยอรมันชาติเจ้าภาพ ด้วยประตูของฟาบิโอ กรอสโซ ในช่วงต่อเวลาพิเศษของเกมในรอบรองชนะเลิศที่ไม่ยอมเปิดโอกาสให้ “Die Mannschaft” ได้มีโอกาสแก้ตัวอีก
ก่อนที่พวกเขาจะพบกับฝรั่งเศส อดีตแชมป์โลกในปี 1998 ที่เริ่มต้นแบบม้านอกสายตาแต่กลับมาถึงรอบชิงชนะเลิศได้ด้วยมนต์ที่ปลายเท้าของซีเนอดีน ซีดาน ที่กลับมาเริงระบำอย่างเพลิดเพลินในสนามได้อย่างเหลือเชื่อโดยเฉพาะในเกมที่เขาพาทีมชนะบราซิล ซึ่งถือเป็นการโชว์ในระดับ “มาสเตอร์คลาส” เลยทีเดียว
โดยซีดาน ได้เฉลยถึงที่มาของพลังแฝงของกองกลางที่เริ่มโรยราว่านัดชิงชนะเลิศนี้จะเป็นเกมสุดท้ายของเขาในฐานะนักฟุตบอลอาชีพ
แน่นอนว่ามันทำให้แฟนฟุตบอลทั่วโลกจำนวนมากอยากเห็นการปิดฉากที่งดงามที่สุดของหนึ่งในศิลปินลูกหนังที่เก่งกาจที่สุดตลอดกาล (และวันนี้ก็ยังไม่มีใครที่ทำได้แบบเขาอีก)
แต่มันไม่เป็นอย่างนั้น
ในนัดชิงชนะเลิศวันนั้นอิตาลี ต้านทานฝรั่งเศส – ชาติที่เคยหักอกพวกเขาในเกมนัดชิงชนะเลิศยูโร 2000 ด้วยประตูโกลเดนโกลของดาวิด เทรเซเกต์ – ได้อย่างน่าประทับใจ
พวกเขาโดนนำไปก่อนด้วยซ้ำเมื่อเสียจุดโทษและซีดาน ทำประตูจากการยิงจุดโทษในแบบเยือกเย็นที่สุดด้วยการยิงนิ่มแบบ ‘ปาเนนกา (Panenka penalty) ในนาทีที่ 7 แต่ว่าอิตาลีตีเสมอได้ในนาทีที่ 19 จากการโหม่งพังประตูของมาร์โก มาเตรัซซีในอีก 12 นาทีถัดมา
ก่อนที่ฝรั่งเศสจะพยายามอย่างหนัก แต่ก็ไม่สามารถผ่านด่านเกมับของอิตาลีได้เลย
แน่นอนว่าผู้คนจดจำจุดพลิกผันในช่วงการต่อเวลาพิเศษเมื่อซีดาน ซึ่งเกือบจะเป็นฮีโร่เมื่อได้โอกาสโหม่งในช่วงต่อเวลาแต่ติดปลายมือของจานลุยจิ บุฟฟอนในวันนั้น เกิดสติขาดใช้ศีรษะโขกใส่มาเตรัซซี จนโดนใบแดงไล่ออกจากสนาม ปิดฉากชีวิตการเล่นอย่างเจ็บช้ำ
แต่คนที่เป็นผู้บัญชาการปกป้องอธิปไตยในเกมรับช่วยให้อิตาลียื้อเสมอได้จนครบ 120 นาทีก่อนจะชนะในการดวลจุดโทษคือกัปตันทีมอย่างคันนาวาโร ซึ่งผลงานที่เด่นชัดที่สุดคือการที่อิตาลีเสียเพียงแค่ 2 ประตูตลอดทัวร์นาเมนต์ โดยนอกจากการเสียประตูจากการยิงจุดโทษของซีดานในนัดชิงชนะเลิศ อีกลูกคือการทำเข้าประตูตัวเองของคริสเตียน ซัคคาร์โดในรอบแบ่งกลุ่ม
คันนาวาโร ยังต้องทำหน้าที่โดยไม่มีคู่หูแข้งทองของเขาอย่างเนสตาที่โชคร้ายได้รับบาดเจ็บ (เป็นครั้งที่ 3 ติดต่อกันในฟุตบอลโลก) ในเกมสุดท้ายของรอบแบ่งกลุ่มโดยที่ไม่สามารถกลับมาลงสนามได้อีกครั้งด้วย
แชมป์ฟุตบอลโลกในครั้งนั้นมีความหมายอย่างมากสำหรับอิตาลี เพราะเกิดขึ้นในช่วงเวลาเดียวกับที่มีข่าวอื้อฉาวระดับสะเทือนโลกลูกหนังทั้งใบที่เรียกว่า “Calciopoli” ที่มีการทุจริตในระดับร้ายแรงของยูเวนตุส ซึ่งทีมเบียงโคเนรีถูกตัดสินให้ตกชั้น ขณะที่ภาพพจน์ของอิตาลีมัวหมองด่างพร้อยอย่างจากเหตุการณ์ดังกล่าว
แต่ในเวลาเดียวกันมันคือเวลาของการเฉลิมฉลองให้กับกองหลังที่เก่งที่สุดของโลก ที่ได้รับรางวัลลูกฟุตบอลทองคำจากนิตยสารฟรองซ์ ฟุตบอลในเวลาต่อมา
ในฐานะหนึ่งในตำนานกองหลังที่เก่งกาจที่สุดตลอดกาลของโลก
ส่วนตำนานในฟุตบอลโลก 2006 ของเขา มีผู้เรียกขานวา “Il Muro di Berlino” หรือตำนาน “กำแพงเบอร์ลิน” ซึ่งมาจากผลงานระดับมาสเตอร์พีซในช่วงฟุตบอลโลก 2006 นั่นเอง
ความเก่งกาจของคันนาวาโร นั้นเป็นเรื่องที่ชวนพิศวงอยู่ไม่น้อย
นั่นเพราะด้วยรูปร่างของเขาที่สูงไม่ถึง 6 ฟุต อย่าว่าแต่การต่อสู้กับคู่แข่งที่มีรูปร่างสูงใหญ่เลย ลำพังแค่การเอาตัวรอดในเกมฟุตบอลระดับอาชีพก็เป็นเรื่องที่ยากแสนยากแล้ว เพราะด้วยหน้าที่การงานของคนที่เล่นเป็นกองหลังแล้ว มันต้องใช้พละกำลังและร่างกายในการเข้าปะทะ
กองหลังรุ่นพี่อย่างมัลดินี ที่ขึ้นหิ้งไปก่อนนั้นเป็นตัวอย่างของคำว่ากองหลังที่สมบูรณ์แบบ เพราะนอกจากจะมีรูปร่างสูงใหญ่ ช่วงขาที่ยาวทำให้เหยียดและแหย่สกัดบอลได้ง่าย ยังมีความเร็วจัดจ้านอีกด้วย ซึ่งคันนาวาโรไม่มีสิ่งเหล่านี้
แต่นั่นก็เป็นตัวอย่างที่ดีสำหรับใครก็ตามที่เคยคิดว่าตัวเองเกิดมาไม่เพียบพร้อมแล้วจะทำอะไรไม่ได้
สิ่งที่สำคัญที่สุดคือการพยายามหาจุดเด่นของตัวเองและพัฒนาตรงนั้นให้ดีที่สุด ให้กลายเป็นสิ่งที่ไม่มีใครจะทำตามหรือเลียนแบบได้
สำหรับคันนาวาโร เด็กหนุ่มจากเมืองนาโปลี ผู้เคยเป็นเด็กเก็บบอลในวันที่ดีเอโก มาราโดนา ชูถ้วยแชมป์หลังพา “อัซซูรา” พิชิตสคูเด็ตโตได้ที่สนามซานเปาโล เขาชดเชยเรื่องสรีระด้วยความเร็วในการออกตัวช่วงสั้นๆที่จะทำให้เข้าถึงบอลได้เร็วกว่าคนอื่น
ที่เหลือคือทักษะในการเข้าสกัดบอลที่เป็นทั้งศาสตร์และศิลป์ในเวลาเดียวกันของการเล่นเกมรับ พ่วงด้วยการอ่านเกมที่ยอดเยี่ยม
และสิ่งสำคัญที่สุดคือหัวจิตหัวใจที่ห้าวหาญในแบบที่ไม่ใช่ห้าวเป้ง แต่คือการเล่นแบบไม่เกรงไม่กลัวใครไม่ว่าคู่ต่อสู้ของเขาในเกมนั้นจะเป็นใครก็ตาม คันนาวาโร สามารถเกาะติดพัวพันจนทำให้พาลเล่นไม่ออกไปตลอดทั้งเกม
สิ่งเหล่านี้ทำให้เขาพัฒนาจากการเป็นดาวรุ่งในทีมนาโปลี สู่การแจ้งเกิดเต็มตัวกับปาร์มา เป็นดาวเด่นในแผงหลังของทีมร่วมกับลิลิยอง ตูราม ก่อนจะย้ายไปค้าแข้งกับอินเตอร์ มิลาน และยูเวนตุส ซึ่งเป็นช่วงที่ฟอร์มการเล่นพีคที่สุดจนคว้าแชมป์โลกกับอิตาลี แต่ไปจากทีมหลังคดีกัลโชโปลี เพื่อย้ายไปเล่นให้กับเรอัล มาดริด
ก่อนจะกลับมา ยูเว่ อีกครั้งในช่วงสั้นๆและปิดฉากการเล่นกับอัล อาห์ลี ดูไบ ในกาตาร์ในปี 2011
โดยที่หลังจากนั้นแล้วก็ไม่ปรากฏกองหลังคนไหนที่จะได้รับการยกย่องและประสบความสำเร็จในระดับบุคคลเทียบเท่ากับคันนาวาโร ซึ่งเป็นเพียงกองหลังคนที่ 3 ในประวัติศาสตร์ที่เคยได้รับบัลลงดอร์ต่อจาก ฟรานซ์ เบ็คเคนเบาเออร์ (2 สมัย), มัทธีอัส ซามเมอร์ (1 สมัย) อีกเลย
อ้างอิง