จับตาโมเดลใบอนุญาตขั้นตอนเดียว เร่งไทยสร้างโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ขนาดเล็ก
ในงาน ASIA Sustainable Energy Week 2025 (ASEW) ที่จัดโดย อินฟอร์มา มาร์เก็ตส์ ประเทศไทย ร่วมกับพันธมิตรทั้งในและต่างประเทศ เช่น กระทรวงพลังงาน และสมาคมเทคโนโลยีระบบกักเก็บพลังงานไทย (TESTA) ภายใต้แนวคิด “Empowering Digital Transformation in Sustainable Energy Towards Net Zero”
"ดร.วิสันต์ เหลืองดิลก" จาก H2Technology, LLC, USA ประเทศสหรัฐอเมริกา ได้นำเสนอการบรรยายพิเศษในหัวข้อ "การนำ Small Modular Reactors (SMRs) มาใช้ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้: เส้นทางยุทธศาสตร์สู่ความพร้อมด้านนโยบาย กฎระเบียบ และเทคโนโลยี" โดยเน้นย้ำถึงพันธกิจส่วนตัวในการส่งเสริมการศึกษา วิจัย และนวัตกรรมเพื่อการนำ SMRs ไปใช้งานจริง ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการพัฒนาพลังงานนิวเคลียร์ที่สะอาด ปลอดภัย และยั่งยืน
นิยามและความปลอดภัยของ SMRs
"ดร.วิสันต์" กล่าวว่า SMRs หรือเครื่องปฏิกรณ์โมดูลาร์ขนาดเล็ก ถูกกำหนดให้เป็นเครื่องปฏิกรณ์ที่ปลอดภัยกว่าเครื่องปฏิกรณ์ทั่วไป ที่ใช้กันมานาน 40-50 ปี ในด้านความปลอดภัยเชิงเทคนิค ความถี่ของการเกิดความเสียหายต่อแกนกลาง (Core Damage Frequency - CDF) ของ SMRs รุ่นใหม่ เช่น New Scale ลดลงไปถึงประมาณ 10 ยกกำลัง -8 ซึ่งดีกว่าเครื่องปฏิกรณ์น้ำเบารุ่นล่าสุดอย่างน้อย 10 เท่า อย่างไรก็ตาม หากใช้ SMRs 10 เครื่องเพื่อผลิตไฟฟ้าในกำลังรวมเท่ากับเครื่องปฏิกรณ์ขนาดใหญ่ 1 เครื่อง ความเสี่ยงโดยรวมในแง่ของ CDF อาจจะใกล้เคียงกัน
ไทยพร้อมใช้พลังงานนิวเคลียร์หรือไม่
ความพร้อมในการใช้งานพลังงานนิวเคลียร์ การนำพลังงานนิวเคลียร์มาใช้เป็นครั้งแรกในประเทศต่างๆ มีข้อกำหนดที่สูงมาก เช่น ความพร้อมทางเทคโนโลยี กรอบกฎหมาย ความพร้อมของสังคม ความพร้อมด้านการศึกษา และความพร้อมด้านโครงสร้างพื้นฐาน ซึ่งเป็นสิ่งจำเป็นในการบริหารจัดการเทคโนโลยีพลังงานนิวเคลียร์อย่างปลอดภัย
ความพร้อมเหล่านี้ยังรวมถึงการเลือกเทคโนโลยีเครื่องปฏิกรณ์ การเลือกสถานที่ การสนับสนุนจากสาธารณะ กรอบกฎหมายระดับชาติสำหรับการออกใบอนุญาตและข้อบังคับด้านความปลอดภัย การพัฒนาบุคลากร และการจัดการเชื้อเพลิงใช้แล้วในระยะยาว
สถานการณ์ในภูมิภาคเอเชีย
• เอเชียตะวันออก (ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ จีน และไต้หวัน) มีกำลังการผลิตไฟฟ้าจากนิวเคลียร์สูงถึง 112 กิกะวัตต์ ซึ่งมากกว่ากำลังการผลิตของสหรัฐฯ ที่ประมาณ 99 กิกะวัตต์ โดยเฉพาะ จีน ที่กำลังเพิ่มกำลังการผลิตอีก 52 กิกะวัตต์ใน 10 ปีข้างหน้า ซึ่งจะทำให้จีนขึ้นเป็นอันดับหนึ่งด้านกำลังการผลิตนิวเคลียร์ของโลกหากสหรัฐฯ ไม่มีโครงการใหม่
• เวียดนาม เคยอนุมัติแผนพัฒนาโรงไฟฟ้า 2 แห่ง กำลังผลิต 4 กิกะวัตต์ในปี 2009 แต่แผนถูกยกเลิกในปี 2016 ปัจจุบันมีแผนใหม่ที่จะมีกำลังผลิต 6.4 กิกะวัตต์ใช้งานจริงตั้งแต่ปี 2030-2035
• อินโดนีเซีย มีการศึกษาพลังงานนิวเคลียร์มานานกว่า 40 ปี และมีสถาบันเทคโนโลยีนิวเคลียร์ที่แข็งขัน ซึ่งกำลังทำวิจัยเรื่องเชื้อเพลิงนิวเคลียร์ เช่น ยูเรเนียมและทอเรียม และมีแผนที่จะผลิตยูเรเนียมในประเทศ ซึ่งไม่มีประเทศอาเซียนอื่นใดวางแผนเช่นนี้
• ฟิลิปปินส์ เป็นประเทศแรกในอาเซียนที่สร้างโรงไฟฟ้านิวเคลียร์เสร็จสมบูรณ์ในปี 1984 แต่ไม่เคยเปิดใช้งานเนื่องจากปัจจัยทางการเมือง ปัจจุบันมีแผนที่จะฟื้นฟูโรงไฟฟ้าดังกล่าว
ความคืบหน้าของประเทศไทย
ประเทศไทยมีประวัติศาสตร์ยาวนานในการพิจารณาและชะลอโครงการนิวเคลียร์ โดยครั้งล่าสุดที่ยกเลิกคือหลังอุบัติเหตุฟุกุชิมะในปี 2011 อย่างไรก็ตาม "ดร.วิสันต์" ระบุว่า ตั้งแต่ปี 2019 สำนักงานปรมาณูเพื่อสันติ (ปส.) ได้ทำงานอย่างต่อเนื่องในการวางรากฐานทางกฎหมายสำหรับการออกใบอนุญาตโรงไฟฟ้าและสิ่งอำนวยความสะดวกทางนิวเคลียร์ โดยมีการออกกฎกระทรวงหลายฉบับตั้งแต่ปี 2020
นอกจากนี้ เมื่อต้นปี 2023 ประเทศไทยยังได้ลงนามในข้อตกลง 123 กับสหรัฐอเมริกา ซึ่งทำให้ไทยสามารถติดต่อกับบริษัทอเมริกันด้านเทคโนโลยีนิวเคลียร์ได้ และได้เข้าร่วมอนุสัญญานิวเคลียร์ที่จำเป็นสำหรับการเตรียมความพร้อม ไทยกำลังดำเนินการวางรากฐานด้านกฎระเบียบอย่างระมัดระวัง
เป้าหมายของประเทศไทยคือ SMRs ขนาดประมาณ 600 เมกะวัตต์ ภายในปี 2037 แม้ว่าเป้าหมายนี้ยังไม่แน่นอน "ดร.วิสันต์" ชี้ว่า การจะให้ SMRs พร้อมใช้งานในปี 2037 นั้น การก่อสร้างอาจต้องเริ่มประมาณ 3-4 ปีก่อนหน้า และการตัดสินใจเลือกเทคโนโลยี SMR อาจต้องทำภายในปี 2030 ซึ่งอาจจะยังเร็วเกินไปที่จะเห็นภาพรวมของเทคโนโลยี SMRs ที่พัฒนาขึ้นทั่วโลก
แนวทางการออกใบอนุญาต
ดร.วิสันต์ ได้เปรียบเทียบแนวทางการออกใบอนุญาต 2 แบบ คือ
• แบบสองขั้นตอน (Two-step licensing) เป็นวิธีที่ใช้กันมานานเกือบ 70 ปี โดยต้องขออนุญาตก่อสร้างก่อน แล้วจึงขออนุญาตดำเนินการ และมีการตรวจสอบซ้ำในแต่ละขั้นตอน
• แบบขั้นตอนเดียว (Single-step licensing) เป็นแนวทางที่ใหม่กว่า โดยบริษัทผู้พัฒนาเครื่องปฏิกรณ์จะดำเนินการ รับรองการออกแบบมาตรฐาน (Standard Design Certification) กับหน่วยงานกำกับดูแลก่อน ซึ่งเมื่อได้รับการรับรองแล้ว ลูกค้าที่ต้องการสร้างโรงไฟฟ้าสามารถเลือกใช้การออกแบบนั้นได้โดยไม่ต้องมีการทบทวนเทคโนโลยีซ้ำอีก
ดร.วิสันต์แนะนำว่า ประเทศต่างๆ โดยเฉพาะประเทศไทย ควรพิจารณาแนวทางแบบขั้นตอนเดียว
ปัจจัยการเลือกเทคโนโลยี
ส่วนด้านการเลือกเทคโนโลยี SMRs ดร.วิสันต์ กล่าวว่าเทคโนโลยี SMRs ยังอยู่ในระหว่างการพัฒนา และคาดว่าจะต้องใช้เวลาอย่างน้อย 5-6 ปี จึงจะเห็นภาพรวมของเทคโนโลยีในโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ที่สร้างและดำเนินการจริง ปัจจัยสำคัญในการเลือกเทคโนโลยี ได้แก่ คุณสมบัติด้านความปลอดภัย ความพร้อมของเทคโนโลยี และประสิทธิภาพ
"ดร.วิสันต์" ยังชี้ถึงความท้าทายที่ว่า เชื้อเพลิงนิวเคลียร์แบบใหม่ที่มาพร้อมกับ SMRs มีความแตกต่างจากเชื้อเพลิงที่ใช้ในเครื่องปฏิกรณ์น้ำเบา และยังไม่มีประสบการณ์ในการจัดการเชื้อเพลิงประเภทใหม่นี้ นอกจากนี้ สำหรับประเทศในเอเชียส่วนใหญ่ ไม่สามารถพิจารณาการรีไซเคิลกากนิวเคลียร์ได้ เนื่องจากข้อกังวลที่เกี่ยวข้องกับอาวุธนิวเคลียร์
Rolls-Royce ชนะการแข่งขัน SMRs
"ดร.วิสันต์" ได้ยกตัวอย่างการแข่งขัน SMRs ครั้งแรกในสหราชอาณาจักรเมื่อสองปีที่แล้ว โดยมีบริษัทหลายแห่งเข้าร่วม แม้เทคโนโลยีของ Rolls-Royce อาจไม่ได้แตกต่างจากบริษัทอื่นมากนัก แต่เหตุผลที่ Rolls-Royce ชนะการแข่งขันอาจเป็นเพราะ Rolls-Royce อยู่ในขั้นตอนการประเมินการออกแบบทั่วไป (Generic Design Assessment - GDA) ขั้นที่ 3 แล้ว ขณะที่บริษัทอื่นส่วนใหญ่อยู่ในขั้นที่ 2 สิ่งนี้เน้นย้ำถึงความสำคัญของความพร้อมในการรับรองการออกแบบ
"ดร.วิสันต์" กล่าวปิดท้ายว่า หากประเทศในอาเซียนต้องการสร้างโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ขนาดใหญ่ในอนาคตอันใกล้ เช่น เวียดนาม ที่มีแผนใหญ่ อาจต้องเลือกใช้เครื่องปฏิกรณ์น้ำเบาขนาดใหญ่รุ่นล่าสุด สำหรับประเทศไทยที่มีเป้าหมาย SMRs ในปี 2037 ยังคงมีเวลาเตรียมตัว แต่การตัดสินใจเลือกเทคโนโลยี SMRs อาจต้องทำในอีกประมาณ 7 ปีข้างหน้า ซึ่งอาจยังเร็วเกินไปที่จะเห็น SMRs ที่พัฒนาเต็มที่ทั่วโลก