Reciprocal Tariff ที่ 36% ซ้ำเติมเศรษฐกิจไทยความเสี่ยง GDP โตต่ำกว่า 1.4%
ไทยโดนภาษีนำเข้าสหรัฐฯ 36% สูงกว่าประเทศเวียดนาม มาเลเซีย อินโดนีเซีย รวมถึงญี่ปุ่นและเกาหลีใต้
ในวันที่ 7 กรกฎาคม 2568 รัฐบาลสหรัฐฯ ประกาศใช้อัตราภาษีนำเข้าตอบโต้ (Reciprocal tariffs) ฉบับใหม่ โดยมีผลบังคับใช้ 1 สิงหาคม 2568 โดยประเทศไทยยังคงไม่ได้รับการลดอัตราภาษีนำเข้าจากเดิมที่ประกาศไว้เมื่อวันที่ 2 เม.ย. 2568 ที่อัตราร้อยละ 36 ทำให้สินค้าส่งออกไทยจะโดนอัตราภาษีฯ ที่สูงกว่าประเทศเวียดนาม มาเลเซีย อินโดนีเซีย รวมถึงญี่ปุ่นและเกาหลีใต้
อัตราภาษีฯ ที่ 36% ยังสามารถเจรจาได้ ขึ้นกับเงื่อนไขการค้าและที่ไม่ใช่การค้าที่สหรัฐฯ ยอมรับ โดยมีการระบุข้อความจากประธานาธิบดีทรัมป์ว่า "หากประเทศต่าง ๆ เปิดตลาดของตนเอง เราอาจพิจารณาปรับเปลี่ยนภาษีเหล่านี้ อาจมีการแก้ไขได้ ทั้งเพิ่มขึ้นหรือลดลง ขึ้นอยู่กับความสัมพันธ์ของเรากับประเทศของคุณ" ซึ่งหากการเจรจาระหว่างไทย-สหรัฐฯ เดินหน้าต่อไป ข้อตกลงสุดท้ายอาจจะต้องมีการเปิดตลาดสินค้าสหรัฐฯมากขึ้น รวมถึงข้อตกลงที่ไม่ใช่ภาษีอื่นๆ ซึ่งต้องมีการประเมินผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยเพิ่มเติม
หากไทยโดนภาษีที่ 36% เสี่ยงเสียตลาดสหรัฐฯ ให้กับประเทศในภูมิภาคที่ได้รับภาษีต่ำกว่า และยังต้องติดตามผลกระทบจากภาษีรายอุตสาหกรรมตามมาตรา 232 ที่จะส่งผลกระทบเพิ่มเติม
อัตราภาษีนำเข้า 36% จะส่งผลให้การส่งออกไทยปี 2568 คาดว่าจะหดตัวลึกในช่วงครึ่งปีหลัง แต่การนำเข้าคาดว่าจะชะลอลงกว่าเดิม โดยอัตราภาษีนำเข้า 36% ที่ไทยถูกเรียกเก็บยังจะสูงกว่าหลายประเทศคู่แข่ง ส่งผลให้สินค้าไทยมีแนวโน้มสูญเสียส่วนแบ่งตลาดในสหรัฐฯ โดยเฉพาะสินค้าหม้อแปลงไฟฟ้า ปริ้นเตอร์ เครื่องปรับอากาศ ปลาและกุ้งแปรรูป เป็นต้น (รูปที่ 2) อย่างไรก็ตาม การ re-export ไปยังตลาดสหรัฐฯ ผ่านประเทศไทย โดยมีการใช้ local content ต่ำ มีแนวโน้มจะชะลอลงไปด้วย โดยเฉพาะสินค้าเครื่องจักรกลที่เห็นการนำเข้าจากจีนเพิ่มขึ้นไปพร้อมๆ กับการส่งออกไปสหรัฐฯ สูงขึ้น ซึ่งจะทำให้การนำเข้าสินค้าที่ใช้ไทยเป็นทางผ่านก็จะชะลอลงเช่นกัน
นอกจากนี้ ค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้นมากกว่าหลายประเทศในภูมิภาคยิ่งซ้ำเติมการส่งออก โดยค่าเงินบาทแข็งค่าจากระดับต้นปีที่ราว 34.50 บาทต่อดอลลาร์ฯ มาอยู่ที่ระดับต่ำกว่า 32.50 บาท ณ วันที่ 7 ก.ค. 2568 หรือแข็งค่าไปแล้วราว 5%YTD นับตั้งแต่ต้นปี ซึ่งเป็นอีกปัจจัยกดดันต่อความสามารถทางการแข่งขันของสินค้าไทย
ภาษีนำเข้าสหรัฐฯ รายอุตสาหกรรมตามมาตรา 232 ยังเป็นความเสี่ยงสำคัญอยู่ โดยขณะนี้สหรัฐฯ อยู่ระหว่างการสอบสวนสินค้าที่อาจเข้าข่ายเป็นภัยต่อความมั่นคงของชาติ ภายใต้มาตรา 232 อาทิ เซมิคอนดักเตอร์ ทองแดง ยา และไม้แปรรูป เป็นต้น ซึ่งตามกรอบระยะเวลาคาดว่าจะดำเนินการแล้วเสร็จในช่วงปลายปี 2568 ไปจนถึงต้นปี 2569 หากมีการเก็บภาษีเพิ่มเติมจะยิ่งกดดันภาพรวมการส่งออกไทยเพิ่มขึ้นในปีหน้า เนื่องจากมีสัดส่วนต่อภาพรวมการส่งออกไทยค่อนข้างมาก
GDP ปี 2568 เสี่ยงโตต่ำกว่า 1.4% ยังต้องติดตามการเจรจาของไทยหลังจากนี้ รวมถึงการเจรจาสหรัฐฯ - จีน หลังครบ 90 วัน
ศูนย์วิจัยกสิกรไทยประเมินผลกระทบ หากไทยต้องเผชิญอัตราภาษีนำเข้าสูงกว่าหลายประเทศ จะกระทบต่อการส่งออกให้หดตัวลึกขึ้น และทำให้การลงทุนจากต่างชาติชะลอตามไปด้วยส่งผลต่อการลงทุนเอกชนให้หดตัวมากขึ้น นอกจากนี้ ยังมีปัจจัยอื่นๆ ที่เป็นความเสี่ยงของเศรษฐกิจไทยในช่วงที่เหลือของปี 68 โดยเฉพาะจำนวนนักท่องเที่ยวที่มีแนวโน้มต่ำกว่าที่ประเมินเนื่องจากปัจจัยลบที่เข้ามากดดันเพิ่มขึ้น อาทิ สถานการณ์ในตะวันออกกลาง และสถานการณ์ไทย-กัมพูชา อีกทั้งตลาดนักท่องเที่ยวจีนยังคงไม่ฟื้นตัว รวมถึงเสถียรภาพทางการเมืองในประเทศอาจกดดันความเชื่อมั่นและการเบิกจ่ายงบประมาณ ซึ่งปัจจัยทั้งเรื่องภาษีสหรัฐฯ และปัจจัยในประเทศทั้งหมดนี้ ส่งผลให้ประมาณการ GDP ไทยในปี 2568 มีความเสี่ยงที่จะต่ำกว่า 1.4%
อย่างไรก็ตาม ยังมีเหตุการณ์ข้างหน้าที่ต้องติดตามทั้งความพยายามในการเจรจาการค้ารอบใหม่ของไทยก่อน 1 ส.ค. 68 ที่อัตราภาษีนำเข้า 36% จะมีผลบังคับใช้รวมถึงการเจรจาระหว่างสหรัฐฯ - จีน ในวันที่ 12 ส.ค. 68 หลังการชะลอขึ้นภาษี 90 วันสิ้นสุดลง ซึ่งศูนย์วิจัยกสิกรไทยจะประเมินเหตุการณ์ต่างๆ ที่จะเกิดขึ้นในระยะข้างหน้าอันใกล้ และจะทบทวนตัวเลขประมาณการ GDP อีกครั้ง