ปักกิ่งขู่ตอบโต้เด็ดขาด! หากชาติพันธมิตรหนุน “ทรัมป์” ลดบทบาท “จีน” จากห่วงโซ่เศรษฐกิจ
ผู้สื่อข่าวรายงานอ้างอิงสำนักข่าวต่างประเทศว่าวันนี้ (8 ก.ค. 68) จีนออกแถลงการณ์อย่างเป็นทางการ แสดงความกังวลต่อท่าทีของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำสหรัฐฯ ที่เตรียมเดินหน้าใช้มาตรการขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากจีนในวงกว้างตั้งแต่วันที่ 1 สิงหาคมนี้ โดยเตือนว่าหากสหรัฐฯ ยังยกระดับมาตรการกีดกันทางการค้า จีนจะดำเนินการตอบโต้โดยทันที
ท่าทีแข็งกร้าวดังกล่าวมีขึ้นหลังจากเมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา ประธานาธิบดีทรัมป์ ได้ส่งสัญญาณเตือนประเทศพันธมิตรว่า สหรัฐฯ จะเริ่มต้นใช้มาตรการขึ้นภาษีอย่างครอบคลุมตั้งแต่ต้นเดือนสิงหาคม โดยเป็นการรื้อฟื้นมาตรการที่เคยประกาศไว้ตั้งแต่เดือนเมษายนที่ผ่านมา ซึ่งในขณะนั้นมีการเก็บภาษีในวงจำกัดเพียง 10% เพื่อเปิดทางให้มีการเจรจาระหว่างประเทศ
จีนซึ่งเคยถูกขึ้นภาษีนำเข้าในอัตราสูงกว่า 100% ระหว่างช่วงเดือนเมษายน-พฤษภาคม ได้รับการแจ้งจากสหรัฐฯ ให้เจรจาและหาข้อสรุปภายในเส้นตายวันที่ 12 สิงหาคมนี้ หากไม่สามารถตกลงกันได้ทันเวลา สหรัฐฯ จะเดินหน้าใช้มาตรการใหม่โดยไม่มีข้อยกเว้น
บทบรรณาธิการของ หนังสือพิมพ์ People’s Daily ซึ่งเป็นสื่อกระบอกเสียงอย่างเป็นทางการของรัฐบาลจีน ได้เผยแพร่ความเห็นในนามปากกา “จงเซิง” (Zhong Sheng) ระบุว่า“การเจรจาและความร่วมมือคือทางออกเดียวที่ถูกต้อง” พร้อมกล่าวหารัฐบาลของประธานาธิบดีทรัมป์ว่าใช้นโยบายภาษีเป็นเครื่องมือกลั่นแกล้งและกดดันจีนอย่างเป็นระบบ
เนื้อหาดังกล่าวสะท้อนถึงความพร้อมของปักกิ่งในการตอบโต้ หากวอชิงตันยังคงเดินหน้าผลักดันมาตรการภาษีรอบใหม่ ซึ่งอาจนำไปสู่การปะทะทางเศรษฐกิจในระดับที่รุนแรงกว่าเดิม
ข้อมูลจากสถาบัน Peterson Institute for International Economics ระบุว่า ปัจจุบัน สหรัฐฯ เก็บภาษีเฉลี่ยกับสินค้านำเข้าจากจีนอยู่ที่ 51.1% ขณะที่จีนเก็บภาษีเฉลี่ยกับสินค้าจากสหรัฐฯ ที่ 32.6% โดยทั้งสองประเทศได้ดำเนินมาตรการภาษีต่อกันเกือบครบทุกหมวดสินค้าแล้ว
นอกจากนี้ บทความใน People’s Daily ยังส่งสัญญาณเตือนไปยังประเทศในเอเชียที่เลือกสร้างความร่วมมือทางการค้ากับสหรัฐฯ โดยแลกกับการลดบทบาทของจีนในห่วงโซ่อุปทาน ตัวอย่างที่จีนระบุถึงโดยตรงคือเวียดนาม ซึ่งเพิ่งลงนามข้อตกลงลดภาษีสินค้าที่ส่งผ่านจากจีน เหลือเพียง 20% จากเดิม 46% ขณะที่สินค้าจีนโดยตรงที่ผ่านเวียดนามยังถูกเก็บภาษีสูงถึง 40%
รัฐบาลจีนแสดงจุดยืนอย่างชัดเจนว่า “คัดค้านอย่างสิ้นเชิง” ต่อพฤติกรรมใด ๆ ที่ส่งผลกระทบต่อบทบาทของจีนในภูมิภาค และหากประเทศใดดำเนินการเช่นนั้น จีนจะตอบโต้โดยเด็ดขาดเพื่อปกป้องสิทธิและผลประโยชน์ของตนเอง
ท่าทีแข็งกร้าวครั้งนี้สะท้อนนโยบายตอบโต้เชิงยุทธศาสตร์ของปักกิ่ง ท่ามกลางความพยายามของรัฐบาลสหรัฐฯ ภายใต้การนำของทรัมป์ ในการปรับโครงสร้างห่วงโซ่อุปทานระดับโลก และสร้างพันธมิตรใหม่ในภูมิภาคอินโด-แปซิฟิก ที่ไม่ต้องพึ่งพาจีนในระยะยาว