กระแสต้านหนัก ‘ตำรวจเข้าตรวจข้อมูลวัด’ ชี้ทำเกินหน้าที่ มองข้ามหลักธรรมวินัย หวั่นบานปลาย
ตามที่ที่ประชุมคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามภัยคุกคามและเสริมสร้างความมั่นคงในพระพุทธศาสนา จะมีการส่งเจ้าหน้าที่ตำรวจเข้าไปขอรับทราบข้อมูลของวัดต่างๆ เพื่อประโยชน์ในการป้องกันและปราบปรามภัยคุกคาม และเสริมสร้างความมั่นคงในพระพุทธศาสนานั้น โดยรูปแบบการขอข้อมูลจะมีการขอทราบรายละเอียดในวัดแต่ละวัดทุกอย่าง ทั้ง บัญชีเงินวัด บัญชีเงินเจ้าอาวาส บัญชีเงินพระลูกวัด จำนวนพระภิกษุสามเณร เลขประจำตัว จำนวนผู้ที่เข้ามาอยู่ในวัด มูลนิธิในวัด เป็นต้น ส่งผลให้เจ้าอาวาสหลายๆ วัดเริ่มแสดงความเห็นถึงมาตรการดังกล่าว ว่ามีความเข้มงวดเกินไปหรือไม่ โดยเฉพาะในเรื่องการตรวจสอบบัญชีเงินพระลูกวัด รวมทั้งบางวัดต้องยกเลิกโครงการที่ช่วยเหลือประชาชน เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดปัญหาด้วย
เช่น พระสุธีรัตนบัณฑิต เจ้าอาวาสวัดสุทธิวราราม ได้โพสต์ผ่านเฟซบุ๊ก โดยสรุปว่า ไม่กล้ารับคนเข้ามาพักที่วัด เพราะเกรงว่าคนมาพักอาจจะนำยาเสพติด หรือมีอาชญากรรมแอบแฝง ช่วงนี้จึงต้องขอยกเลิกการเปิดวัดให้คนที่ไม่มีที่พัก สำหรับคนที่มีความจำเป็นต้องเดินทางมากรุงเทพฯ เช่นมาโรงพยาบาล ไปก่อน
ขณะที่ ศ.ดร.อุทิส ศิริวรรณ นักวิชาการด้านพระพุทธศาสนา อดีตนาคหลวง ป.ธ.9 วัดราชบูรณะ โพสต์ผ่านเฟซบุ๊กว่า เมื่อคืน นั่งคุยพระมหาเถระที่มีบทบาทสำคัญในมหาเถรสมาคม (มส.) สะท้อนถึงความอัดอั้นตันใจ ตนได้รับแชตตรงจากเหนือ ใต้ อีสาน ภาคกลางครบถ้วนสี่ภาค ระบายความอัดอั้นตันใจ หลวงพ่อท่านบอก มส. ยุคนี้ ฟังเสียงพระทั่วประเทศอยู่แต่ท่านไม่เบ็ดเสร็จ ให้รอผลประชุม มส. 13 ส.ค. ตนกราบเรียน มส. บัญชีวัด พระวัดที่พร้อมสนอง ไม่มีอะไร แต่ถึงขั้นขอดูบัญชีส่วนตัว ลุกลามไปถึงเลขบัตรประชาชน พระไม่พอใจ ลุกฮือกันมาก เพราะมองตำรวจทำจนเกินหน้าที่ และพระกลัว วันหน้าข้อมูลอาจถึงมือ call center พระไม่วางใจตำรวจในการปกป้องข้อมูลส่วนตัว ระวัง ละเมิดสิทธิส่วนตัวพระ ยกเว้น มีหมายจับ หมายค้น เป็นรายตัว รัฐที่คุมพระ ห่วงพระ ต้องการดับไฟ ปัญหาพระเป็นข่าวอื้อฉาวการเงิน เช่น วัดดังลพบุรี ในขณะนี้ เลยจำต้องกำราบปราบปรามทุจริต ก็ชอบธรรมที่จะทำ เพื่อสยบวิกฤติศรัทธาสงฆ์ แต่การจะออกคำสั่ง มติ กระทบถึง 4 หมื่นกว่าวัด ถ้าไม่ประชาพิจารณ์ ไม่วิจัย ทั้งพระ ไวยาวัจกร คณะศรัทธาวัด คำสั่ง มติ จะถูกต่อต้านรุนแรงในวงกว้าง เพราะไม่ตรงใจชาววัด
ปราชญ์อย่างท่านพี่นายพล และท่าน ชญตว์ ไชยดี สะท้อนต่อท้ายมติ สอดคล้องความรู้สึกพระถ้าจะเร่งรีบ รวบรัด ออกพรรษามีเจ้าอาวาสลาออกนับพันวัด และที่เหลือก็เกียร์ว่างเพราะจะเอาเงินที่ไหนมาจ้าง ไวยาวัจกร ผู้รู้ทางบัญชี หรือผู้รู้การเงิน วัดเล็กๆ 4 หมื่นวัด ส่วนมากคล้ายกันรายรับทางเดียวคือ กฐินปีละครั้ง รายรับ 2 ทาง คือ กฐินและผ้าป่า ต้องแยกขาดจากวัดที่รายรับหลายทาง เช่น ค่าเช่าที่ดิน ค่าจอดรถ ค่าศาลาสวดศพ ค่าเหยียบวัด (นักท่องเที่ยวต่างชาติ) รายรับที่เฉพาะทาง เช่น วัดท่องเที่ยว วัดมีกิจกรรมตลอดทุกเดือน อย่างวัดป่า ที่สอนกรรมฐาน แล้วคนเลื่อมใสทำบุญสะสมมาก วัดมีบุญใหญ่ตลอดปี บริหารแบบมืออาชีพ เช่น วัดพระธรรมกาย หรืออย่างวัดพระบาทน้ำพุ ที่เป็นปัญหาดังกระหึ่มในเวลานี้ รายรับจากขายวัตถุมงคล รายรับจากพระเกจิ พระดัง โซเชียล อินฟลู เช่น พุทธวจน พระสิ้นคิด มีคนบริจาค จำนวนมาก มส.จะลงมติ ควรจัดกลุ่มวัดก่อน เอาวัดที่พร้อมนำร่อง จะดีกว่าออกมติแบบเหวี่ยงแห
ตนคอยเชื่อมตรงกลาง มส. กับวัด 4 หมื่นกว่าวัด ที่น่าห่วงคือ 4 หมื่นวัดที่ยังชีพด้วย กฐิน และผ้าป่า หลายวัด มีพระแค่ 1-2 รูป พระบ้านนอก หลายวัด ไม่ได้แตะเงิน เบิกก็ยาก อย่าปล่อยให้ตำรวจ ทำงานสไตล์ “ป้องกันและปราบปราม” พอละเลย มองข้ามหลักพระธรรมวินัย จะมีปัญหาบานปลายเรื่อยๆ ออกบวช เป็นเจ้าอาวาส เจ้าคณะ เสี่ยงติดคุก