‘เนวิน’ดิ้นสู้ฟัดงัด‘สิงห์แดง’ ดึงเกม‘เขากระโดง’ขยี้‘อัลไพน์’
มหากาพย์ “ที่ดินเขากระโดง” 5,083 ไร่ ในพื้นที่ อ.เมือง จ.บุรีรัมย์ บทสรุปที่ยังไม่มีทีท่าที่จะรวบรัดตัดจบได้โดยง่าย
อย่างที่รู้กันเมื่ออำนาจเปลี่ยนมือจาก“พรรคภูมิใจไทย” มาอยู่ที่“พรรคเพื่อไทย” ปฏิบัติการล้างบางสีน้ำเงินจึงถูกเปิดเกมเร็ว เคลื่อนเกมแรงเล็งเป้าไปที่ “กล่องดวงใจ” ค่ายสีน้ำเงิน
โดยเฉพาะที่ดิน12 แปลง รวมเนื้อที่ 288 ไร่ ซึ่งเป็นที่ตั้งของโรงโม่หินศิลาชัย สนามฟุตบอลช้างอารีนา สนามแข่งรถ หรือ Amari Buriram United ธุรกิจโรงแรมที่ใครๆต่างก็รู้กันโดยทั่วว่าเป็นอาณาจักร“ตระกูลชิดชอบ”
แน่นอนว่า หลังจากที่ “มท.อ้วน”ภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี และรมว.มหาดไทย และ “มท.ชาย” เดชอิศม์ ขาวทอง รมช.มหาดไทย แถลงบทสรุปถึงการดำเนินการเพิกถอนที่ดินเขากระโดง จำนวน 5,083 ไร่
โดยหยิบยกคำวินิจฉัยศาลชั้นต้น ศาลอุทธรณ์ และศาลฎีกา ที่พิพากษาเด็ดขาดว่า ที่ดินเป็นของการรถไฟแห่งประเทศไทย(รฟท.)พร้อม“ล้มคำสั่ง” คณะกรรมการตามมาตรา 61 แห่งประมวลกฎหมายที่ดินที่ตั้งขึ้นในยุค “อนุทิน ชาญวีรกูล” หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย เป็นรมว.มหาดไทย และสั่งให้กรมที่ดินดำเนินการเพิกถอนทันที มีผลนับตั้งแต่วันที่2 ส.ค. เป็นต้นไป
จึงไม่แปลกหากจะได้เห็นจังหวะการเดินเกมของฝั่ง “ครูใหญ่” ส่งผ่าน “พลพรรคสีน้ำเงิน” แบ่งบท-แบ่งพาร์ทกันเล่น
พาร์ทแรก ในส่วนของคดี เห็นได้ชัดถึงเกมรุกกลับของ “ครูใหญ่” ส่งทนายความ พร้อมชาวบ้านที่กล่าวอ้างว่ามีเอกสารสิทธิในพื้นที่ดังกล่าว และอ้างว่าได้มาอย่างถูกต้อง ตั้งโต๊ะแถลงเมื่อวันที่7ส.ค.ที่ผ่านมา คัดค้านคำสั่งกระทรวงมหาดไทย
จับใจความสำคัญที่ทาง“ทนายความ” ตระกูลชิดชอบ พยามยามโต้แย้งพอจะสรุปได้อย่างน้อย4ประเด็น
ประเด็นแรก คำพิพากษาของศาลฎีกาและศาลอุทธรณ์ภาค บางคดีที่รฟท. นำมาอ้าง
“ทนาย” โต้แย้งว่า ตามมาตรา145 แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มี 3 หลัก หลักที่หนึ่ง คำพิพากษาศาลฎีกาต้องถึงที่สุด
หลักที่สอง มีผลบังคับเฉพาะคู่ความในคดี ไม่ได้หมายรวมไปถึงราษฎรผู้ถือเอกสารสิทธิตามกฎหมายในที่ดินแปลงอื่น ไม่เกี่ยวข้องกับคดีดังกล่าวและได้รับประโยชน์จากข้อสันนิษฐานตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1373 ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 127 และประมวลกฎหมายที่ดินมาตรา2และมาตรา3 อีกทั้งยังได้รับความคุ้มครองตามรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2560 มาตรา37
หลักที่สาม อาจใช้ยันบุคคลภายนอก ซึ่งคำว่า“อาจใช้ยัน”ไม่ใช่การบังคับแต่ต้องไป “ฟ้องเป็นคดีใหม่”
ประเด็นนี้สอดคล้องกับความเคลื่อนไหว รวมถึงการวางเกมจากฝั่ง“ครูใหญ่” ที่ส่ง “ทีมทนายชิดชอบ” รวบรวมชาวบ้านในพื้นที่ที่ครอบครองทุกแปลง เพื่อคัดค้านการเพิกถอน พร้อมบีบให้รฟท.ไปไล่เบี้ย“ฟ้องรายแปลง” ซึ่งหมายความว่า กระบวนการอาจต้องยืดเยื้อต่อไปแบบไม่มีกำหนด
ประเด็นที่สอง ปัจจุบันไม่ปรากฏว่า มีพระราชกฤษฎีกากำหนดเขต และจัดซื้อที่ดิน พร้อมแผนที่ท้ายพระราชกฤษฎีกาประกาศในราชกิจจานุเบกษา รับรองให้รฟท. เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ตามพระราชบัญญัติจัดวางการรถไฟและทางหลวง พ.ศ. 2464 หรือกฎหมายอื่นใด ดังนั้นที่ดินพิพาทจึงไม่ตกเป็น“ที่ดินรถไฟ”
ประเด็นที่สาม แผนที่สำรวจ (Exploitation Plan) จัดทำขึ้นเพื่อรองรับการขนย้ายหินบริเวณเขากระโดงชั่วคราว โดยอาศัยพระราชบัญญัติจัดวางการรถไฟและทางหลวง พ.ศ.2464 มาตรา 45 จึงไม่ใช่ทางรถไฟเพื่อใช้ในการเดินรถตามมาตรา 3 (3) ของพระราชบัญญัติเดียวกัน และไม่ใช่แผนที่ท้ายพระราชกฤษฎีกาตามกฎหมาย
ประเด็นที่สี่ กรณีที่ศาลปกครองกลาง “ไม่รับคำร้อง” เพิกถอนบางคำร้อง เพราะเคยพิพากษาไปแล้วเป็นอำนาจของอธิบดีกรมที่ดิน
สิ่งที่“ทีมทนายชิดชอบ” พยายามจะสื่อสาร จึงไม่ต่างอะไรกับเกมขู่เล็งเป้าไปที่“ภูมิธรรม” รวมถึงหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง หากยังคงดำเนินการเพิกถอนโฉนดโดยยึดถือแผนที่หรือข้อมูลเท็จของ รฟท. เพื่อสนองนโยบายทางการเมือง อันเป็นการฝ่าฝืนกฎหมายอย่างร้ายแรง
สเตปต่อไปคือการย้อนเกล็ดเอาคืนด้วยการร้อง “เพิกถอนคำสั่ง” และเรียกค่าเสียหาย รวมทั้งดำเนินคดีอาญาฐานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เบิกความเท็จ ปลอมแปลงเอกสารราชการอีกด้วย
ขณะที่ พาร์ทสอง คือ พาร์ทการเมือง เห็นชัดถึงการเปิดประเด็นปิงปองตอบโต้กันเป็นรายวันระหว่าง2ฝั่ง
ฝั่งสีน้ำเงิน ส่งบทผ่านลูกพรรค อาทิ “ศุภชัย ใจสมุทร” ประธานคณะทำงานฝ่ายกฎหมายพรรคภูมิใจไทย ที่กระทุ้งไปที่ประเด็น "ขุมทรัพย์2ตระกูล" ภายใต้มาตรฐานในการจัดการระหว่าง “ที่ดินเขากระโดง” ของตระกูลชิดชอบ กับ “สนามกอล์ฟอัลไพน์” อาณาจักรของตระกูลชินวัตร
อย่างที่รู้กันว่า ปฏิบัติการล้างบางเครือข่ายสีน้ำเงิน จนนำมาสู่การยึดคืนพื้นที่เขากระโดงซึ่งถือเป็นกล่องดวงใจตระกูลชิดชอบเกิดขึ้นภายใต้เกมการเมืองหลังการเปิดฉากแตกหักระหว่าง“2นาย” คือ “เนวิน ชิดชอบ” ครูใหญ่สีน้ำเงิน และ “ทักษิณ ชินวัตร” นายใหญ่ค่ายแดง
อีกนัยหนึ่ง “นายใหญ่”หวังฝากบาดแผลเอาคืน “ครูใหญ่” กระทบชิ่งไปถึงพรรคภูมิใจไทย ที่ก่อนหน้านี้คุมกระทรวงมหาดไทย และมีการเซ็นเพิกถอนที่ดินอัลไพน์ โดยมี “ชำนาญวิทย์ เตรัตน์” รองปลัดกระทรวงมหาดไทย เป็นผู้เซ็นลงนาม
ผลที่ตามมาคือ “บริษัทอัลไพน์ฯ” กลายเป็นหนึ่งใน “ตัวละครร่วม” ที่จะต้องจ่ายค่าเสียหายในคดีแพ่งคิดเป็นมูลค่าสูงถึง 7,700 ล้านบาทให้กับประชาชนซึ่งเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินในปัจจุบัน และยังคงคาราคาซังอยู่ในเวลานี้
ด้วยบทสรุปที่ยังไม่สรุปทั้ง2กรณีนี้เอง ไม่แปลกในวันที่อำนาจเปลี่ยนมือ ในขณะที่พรรคภูมิใจไทยถูกผลักออกไปอยู่ในขั้วฝ่ายค้าน ประเด็น“เขากระโดง VS อัลไพน์” จากเดิมที่ถูกมองว่า เป็นเกมต่อรองที่อาจสมประโยชน์ร่วมกันระหว่าง “2นาย” จะกลับกลายเป็นการเปิดฉากเอาคืนกันไปมา
โดยเฉพาะฝั่ง“เนวิน” และพรรคสีน้ำเงิน ที่กำลังเปิดเกม “ดิ้นสู้ฟัด” อยู่ในเวลานี้
คงเหมือนดังที่ รศ.ดร.พิชาย รัตนดิลก ณ ภูเก็ต ผอ.หลักสูตรการเมือง และยุทธศาสตร์การพัฒนา สถาบันบัณทิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) วิเคราะห์ไว้ในรายการ“คมชัดลึก” ออกอากาศทางNationTv22 ถึงศึก “2นาย” ที่กำลังดำเนินอยู่ในเวลานี้ว่า
“วิธีคิดของนักการเมือง ถ้าต้องร่วมมือกัน ก็จะหลับตาข้างหนึ่ง แต่เมื่อไรที่มีความขัดแย้งกัน เรื่องเล็กก็จะกลายเป็นเรื่องใหญ่ เรื่องที่ใหญ่ก็กลายเป็นเรื่องที่ใหญ่มาก”
กรณีเขากระโดงเป็นตัวอย่างชัดเจน ตอนอยู่ร่วมกันไม่มีการพูดถึง แต่เมื่อขัดแย้งกันก็เป็นประเด็นสามารถทำเป็นผลงานและคะแนนนิยมได้ด้วย!