วิชารัฐมนตรี (8)
เนื้อหาหนังสือ "วิชารัฐมนตรี" ศาสตร์และศิลป์ของ "การนำ" ผ่านมุมมองเอนก เหล่าธรรมทัศน์ เขียนโดย ดร.ยุวดี คาดการณ์ไกล และณัฐธิดา เย็นบำรุง จัดทำโดยมูลนิธิสถาบันสร้างสรรค์ปัญญาสาธารณะ มีทั้งหมด 6 บท รวม 156 หน้า
บทที่ 6
ผู้นำแบบเอนก เหล่าธรรมทัศน์
"การจะมีปัญญาในการนำได้นั้น ต้องผ่านการปฏิบัติและเรียนรู้จากประสบการณ์ ไม่ใช่เพียงแค่อ่านหรือศึกษาจากตำรา นักวิชาการหลายคนมีความรู้ลึกซึ้งในทฤษฎี แต่เมื่อถึงเวลาต้องเป็นผู้นำจริงกลับไม่สามารถนำองค์กรได้ เพราะขาดประสบการณ์ในการลงมือทำการสะสมประสบการณ์ในการเผชิญปัญหาและแก้ไขสถานการณ์ต่างๆ คือสิ่งที่หล่อหลอมให้เกิด “ปัญญาของผู้นำ” อย่างแท้จริง….”
จากการทำหน้าที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวง อว. ของเอนก เหล่าธรรมทัศน์ ได้แสดงภาวะการนำอย่างมีประสิทธิภาพ ความเป็นผู้นำแบบเอนก เหล่าธรรมทัศน์ สะท้อนถึงรูปแบบผู้นำที่สอดคล้องกับบริบทของไทยและสามารถเรียนรู้ได้จริง นี่จึงไม่ใช่แนวคิดผู้นำในอุดมคติ แต่เป็นแนวปฏิบัติที่มาจากประสบการณ์ของรัฐมนตรีซึ่งต้องเผชิญกับความเป็นจริงของระบบราชการ สังคม และการเมืองไทย แนวปฏิบัตินี้ไม่เพียงแต่เป็นตัวแบบสำหรับผู้นำที่เป็นรัฐมนตรี แต่ยังเป็นแนวปฏิบัติสำหรับผู้นำไทยในทุกระดับที่สามารถนำไปปรับใช้เพื่อสร้างการเปลี่ยนแปลง ในที่นี้ผู้เขียนขอสรุปคุณลักษณะผู้นำแบบเอนก เหล่าธรรมทัศน์ ด้วย 3 องค์ประกอบหลัก คือ 1.คุณสมบัติของผู้นำ 2.ความสามารถของผู้นำ และ 3.การนำด้วยปัญญา
คุณสมบัติของผู้นำ
การเป็นผู้นำที่ดีและมีประสิทธิภาพต้องอาศัยทักษะและคุณสมบัติที่จำเป็นซึ่งแตกต่างจากบุคคลทั่วไป ผู้นำจึงควรมีคุณสมบัติพื้นฐานที่จำเป็นบางประการที่บ่งบอกถึงความเหมาะสมและศักยภาพในการเป็นผู้นำ หรืออย่างน้อยมีคุณสมบัติที่เป็นหลักประกันเบื้องต้นในการทำหน้าที่บริหารองค์กรได้
ดังนั้น คนที่มีภาวะผู้นำจึงควรมีคุณสมบัติเบื้องต้น ที่ช่วยส่งเสริมความเป็นผู้นำ และได้รับการยอมรับจากผู้ร่วมงาน ผู้นำจึงแตกต่างจากคนทั่วไป นั่นหมายถึง ผู้นำควรมีคุณสมบัติพัฒนาตนเองอย่างไม่หยุดนิ่ง โดยให้ความสำคัญกับการเรียนรู้ คิดวิเคราะห์ และศึกษาติดตามสถานการณ์โลกและท้องถิ่นอยู่เสมอ นอกจากนี้ ผู้นำยังควรมีคุณสมบัติที่ผ่านประสบการณ์การทำงานมาก่อน ไม่ว่าจะเป็นระดับปฏิบัติงานหรือระดับบริหารก็ตาม การมีประสบการณ์ทำให้ผู้นั้นเข้าใจระบบงาน มีมุมมองในด้านการบริหารคน และบริหารงาน การมีประสบการณ์ที่หลากหลายนั้น ยิ่งทำให้คุณสมบัติของผู้นำโดดเด่นมากขึ้น และเป็นหลักประกันพื้นฐานให้ได้รับความไว้วางใจในการทำหน้าที่ผู้นำ
การพัฒนาตนเองอย่างไม่หยุดนิ่ง
คุณสมบัติผู้นำแบบเอนก เหล่าธรรมทัศน์ คือ การเป็นผู้ที่พัฒนาตนเองอยู่ตลอดเวลา หลายคนได้ถามว่า เขาพัฒนาตนเองให้เป็นผู้นำได้อย่างไร คำตอบของเขาคือ “การปรับปรุงและฝึกฝนตนเองอย่างต่อเนื่อง หากเราต้องการเป็นคนแบบไหน ก็ต้องฝึกตนเองให้เป็นคนเช่นนั้น ฝึกทุกวัน จนกลายเป็นนิสัยโดยธรรมชาติ และเมื่อถึงจุดหนึ่ง ผู้อื่นจะยอมรับและเดินตามได้” เขาเชื่อว่าผู้นำที่แท้จริงต้องฝึกฝนและพัฒนาตัวเองอยู่เสมอ ไม่ใช่แค่เรียนรู้จากตำรา แต่ต้องลงมือทำ คิด วิเคราะห์ และสร้างองค์ความรู้ใหม่ๆ ตลอดเวลา การฝึกตนเองของเอนก เหล่าธรรมทัศน์ มีหลายวิธี
การอ่าน เขาเป็นนักอ่านมาตั้งแต่เด็ก และยังคงอ่านอย่างต่อเนื่อง เขาเชื่อว่าหนังสือคือการได้มาซึ่งความรู้ที่สนุก หนังสือมีมากมายทั่วโลกที่เต็มไปด้วยขุมทรัพย์ของปัญญา เขาสะสมการอ่านหนังสือมายาวนาน โดยเล่าว่า “ผมอ่านตั้งแต่อยู่ชั้นประถม เพราะผมปั่นจักรยานไปห้องสมุดประชาชนที่ลำปางทุกวัน อ่านหนังสือพิมพ์ของไทย และหนังสือพิมพ์ภาษาอังกฤษแทบทุกฉบับ ซึ่งก็สารภาพว่าใช้การเดาๆ เอาบ้าง เพราะยังอ่านภาษาอังกฤษไม่แตกฉาน แต่ได้อ่านหนังสือในห้องสมุดเกือบทุกเล่ม ทุกประเภท” เขายังแนะนำตัวอย่างหนังสือที่ได้อ่าน 5 เล่ม ผู้เขียนขอกล่าวถึง 2 เล่มคือ หนังสืออเล็กซานเดอร์มหาราช เขาอธิบายว่า กษัตริย์อเล็กซานเดอร์มหาราช เป็นกษัตริย์นักรบผู้ยิ่งใหญ่แห่งอาณาจักรกรีก ทรงเป็นกษัตริย์ที่ยิ่งใหญ่ในทุกด้านจริงๆ ทรงเป็นกษัตริย์นักปราชญ์ ผู้ทำให้อารยธรรมของกรีกแผ่ไพศาลไปไกลกว่าค่อนโลกอย่างที่ไม่เคยมีกษัตริย์พระองค์ใดหรือยุคสมัยใดจะทำได้เช่นนี้มาก่อน พระองค์ทรงเป็นนักยุทธศาสตร์และนักกำหนดยุทธวิธีในการทำสงครามที่แยบยล และสิ่งที่เป็นสุดยอดเหนือกษัตริย์อื่นใด คือพระองค์ทรงเป็นจอมทัพชนะใจประชาชนในทุกๆ ที่ที่พระองค์เสด็จผ่านไปอีกด้วย สำคัญตรงชนะใจประชาชนนี่แหละที่ผู้นำทุกคนควรไปศึกษา อีกเล่มคือหนังสือสามก๊ก ฉบับเจ้าพระยาพระคลัง (หน) เล่มนี้เป็นวรรณกรรมจีนที่รัชกาลที่ 1 มีพระราชดำรัสสั่งให้แปล ซึ่งเป็นการรวบรวมสุดยอดการบริหารคน วิธีคิดเชิงกลยุทธ์ ยุทธวิธีการรบ และการบริหารเมืองในภาวะวิกฤต เป็นบทเรียนตำราพิชัยสงครามภาคปฏิบัติ เต็มไปด้วยชั้นเชิงการบริหารประเทศ ด้านเศรษฐกิจและการเมืองที่ร่วมสมัยที่สุดเล่มหนึ่ง เขามองว่านี่เป็นมรดกทางปัญญาของปราชญ์ชาวตะวันออกที่ยังทันสมัยมาก และยังสอดคล้องกับสถานการณ์ของโลกปัจจุบัน เขาจึงแนะนำว่าผู้บริหารประเทศหรือผู้นำยุคใหม่ควรอ่านหนังสือเล่มนี้อย่างยิ่ง
การเขียน เอนก เหล่าธรรมทัศน์ เป็นนักวิชาการและนักเขียนชั้นยอดที่มีชื่อเสียงมาก่อน หนังสือของเขาได้รับการยอมรับอย่างมากในวงการรัฐศาสตร์ทั้งไทยและต่างประเทศ ผลงานเขียนตีพิมพ์วิชารัฐมนตรี 117 เผยแพร่นับเกือบ 100 เล่ม ซึ่งเขียนขึ้นในแต่ละปี และบางเล่มพิมพ์ซ้ำหลายรอบ เช่น หนังสือตะวันตก-ตะวันออก ใครสร้างโลกสมัยใหม่ เล่มนี้ได้รับรางวัลหนังสือวิชาการดีเด่นจากมูลนิธิโตโยต้าประเทศไทย (TTF Award) หนังสือสองนคราประชาธิปไตย หนังสือประชาธิปไตยท้องถิ่น หนังสือบูรพาภิวัตน์ หนังสือเมืองนิยม เป็นต้น “การเขียน” ทำให้เขามีวินัยในการหาข้อมูล เรียบเรียงและจัดระบบความคิดในการถ่ายทอดผ่านตัวหนังสือได้
การบรรยายและการสอน เขายังพัฒนาตัวเองส่วนหนึ่งจากการได้รับเชิญไปบรรยาย และสอนหนังสือ เป็นการฝึกฝนที่ช่วยให้เขาได้ติดตามสถานการณ์ ทบทวนเรื่องราวและสามารถอธิบายแนวคิดที่ซับซ้อนให้เข้าใจง่าย ขณะเดียวกัน ได้ถ่ายทอดความรู้ แลกเปลี่ยนและมีปฏิสัมพันธ์ทางความคิดกับผู้คนจำนวนมาก และกลุ่มปัญญาชนที่หลากหลายอยู่อย่างต่อเนื่อง
การคุยกับผู้คน “ถ้าอยากเป็นผู้นำที่ดี ต้องรู้จักคุยกับคนให้มาก” เอนก เหล่าธรรมทัศน์เป็นผู้ที่ชอบพูดคุยกับผู้คนจากทุกสาขาอาชีพ ไม่ใช่แค่เฉพาะในแวดวงการเมืองหรือวิชาการ เขาเชื่อว่าการคุยกับคนจากหลากหลายวงการทำให้ได้มุมมองใหม่ๆ และช่วยพัฒนาวิธีคิดได้อย่างรวดเร็ว หลายคนมองว่าผู้นำต้องใช้เวลาพูดคุยกับคนในแวดวงของตัวเองให้มาก แต่เขากลับมองตรงกันข้าม “ถ้าคุยกันเองมากเกินไป ก็จะติดอยู่ในความคิดและปัญหาเดิมๆ” สิ่งสำคัญคือการออกไปคุยกับคนนอกวงการ คนที่มีมุมมองแตกต่าง คนที่มีประสบการณ์ในเรื่องที่เรายังไม่รู้ สำหรับเขา การพูดคุย คือ การเรียนรู้ และเป็นวิธีพัฒนาตัวเองที่ง่ายและรวดเร็วที่สุด การพูดคุยกับคนอื่น เป็นการเปิดโลกทัศน์ ได้รับความรู้ใหม่ บทเรียนชีวิต และได้มิตรภาพที่มีค่ามากกว่าความรู้ที่หาได้จากตำรา
การวิจัยและการคิด เอนก เหล่าธรรมทัศน์ให้ความสำคัญกับ “การวิจัย” มากที่สุด เขามักพูดเสมอว่า “การเป็นรัฐมนตรีที่ดีต้องคิดและวิจัยอยู่ตลอดเวลา” ผู้นำต้องไม่หยุดคิด ต้องวิจัยอย่างไม่มีวันสิ้นสุด เพราะไม่มีใครเรียนมาเพื่อเป็นรัฐมนตรี หรือเป็นผู้นำโดยตรง ทุกอย่างต้องเรียนรู้จากประสบการณ์ และต้องวิจัยไปพร้อมกับการทำงาน เขาไม่ได้วิจัยแบบเป็นทางการเสมอไป แต่ใช้วิธีคิดแบบนักวิจัย สังเกต ตั้งคำถาม เปรียบเทียบ และหาคำตอบอย่างรวดเร็ว “ทุกอย่างที่ผมทำ ผมวิจัยทั้งนั้น” ไม่ว่าจะเป็นการบริหารกระทรวง การพัฒนานโยบาย หรือแม้แต่การเจรจากับผู้นำประเทศอื่นๆ ทุกอย่างต้องผ่านกระบวนการคิด วิเคราะห์ และวางแผนให้เป็นระบบ นี่คือสิ่งที่ทำให้เขาโดดเด่นมีประเด็นที่นำมาพูดคุยกับทีมงานอยู่เสมอ
การเดินทางทั่วไทยและทั่วโลก “การอ่านไม่เทียบเท่าการได้เห็น” เอนก เหล่าธรรมทัศน์เป็นนักเดินทางท่องโลกกว้าง เขาเชื่อว่าความรู้ที่ได้จากหนังสือสำคัญ แต่สิ่งที่สำคัญกว่าคือการได้เห็นของจริง ได้สัมผัสสถานที่ ได้พูดคุยกับผู้คน และได้เข้าใจโลกผ่านประสบการณ์ตรง ก่อนที่เขาทำหน้าที่รัฐมนตรี เขาได้เดินทางไปครบทุกจังหวัดของประเทศไทย ทั้งทำงานและท่องเที่ยว ทำให้เขามองเห็น “ประเทศไทยที่แท้จริง” เข้าใจประวัติศาสตร์และบริบทของแต่ละพื้นที่ ไม่เพียงแค่นั้น เขายังเดินทางท่องเที่ยวต่างประเทศทุกภูมิภาคของโลก จึงเข้าใจรากเหง้าประวัติศาสตร์และการพัฒนาของตะวันตกและตะวันออกอย่างดี เมื่อเป็นรัฐมนตรีกระทรวง อว. เขายังคงเดินทางต่อไปออกไปเยี่ยมเยียนมหาวิทยาลัย หน่วยงานวิจัย และพื้นที่ต่างๆ ทั่วประเทศไทย และเดินทางไปสร้างสันถวไมตรีด้านการอุดมศึกษา วิจัย วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีกับต่างประเทศ สร้างสัมพันธ์ใกล้ชิดและเรียนรู้ว่าประเทศที่พัฒนาก้าวหน้ามีแนวคิดอย่างไร และสิ่งใดที่ไทยสามารถนำมาปรับใช้ได้ สำหรับเขาแล้ว ผู้นำต้องใช้ทั้ง “สมอง” และ “ขา” ต้องทำงานควบคู่กัน ถ้าใช้ขามาก ใช้สมองมาก ความรู้และปัญญาก็จะเกิดขึ้นมากตามไปด้วย
การฝึกฝนตนเองอย่างต่อเนื่องของเอนก เหล่าธรรมทัศน์ สอดคล้องกับแนวคิดของขงจื๊อที่เชื่อว่า “ผู้นำต้องฝึกฝนตนเอง” (Self-Cultivation) เพื่อให้มีคุณธรรมและความสามารถในการปกครองที่ดี ไม่ว่าจะเป็นการอ่านหนังสือเพื่อเพิ่มพูนปัญญา การเขียนเพื่อถ่ายทอดความรู้ การสอนและการบรรยายเพื่อให้ความรู้ และฝึกฝนความสามารถในการสื่อสาร ตลอดจนการชอบพูดคุยกับผู้คนจากหลากหลายอาชีพเพื่อนำเอาประสบการณ์และมุมมองที่แตกต่างมาพัฒนาวิธีคิดและการทำงานของตนเอง
ขงจื๊อเชื่อว่าผู้ที่เป็น “จวินจื่อ” หรือสุภาพชน ต้องไม่ยึดติดกับความคิดแบบเดิมๆ แต่ต้องขวนขวายหาความรู้และปรับปรุงแนวคิดของตนให้เหมาะสมกับสถานการณ์อยู่เสมอ นอกจากนี้ ขงจื๊อให้ความสำคัญกับ “การเรียนรู้จากประสบการณ์” ขงจื๊อเชื่อว่า “การได้เห็นหนึ่งครั้งดีกว่าการได้ยินร้อยครั้ง” ซึ่งเป็นสิ่งที่เขาให้ความสำคัญเช่นกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การเดินทางไปทั่วไทยและทั่วโลก เพื่อเรียนรู้จากสถานที่จริงและสร้างความเข้าใจเชิงลึกเกี่ยวกับผู้คนและสังคม
การฝึกฝนตนเองของเอนก เหล่าธรรมทัศน์ นั้น ไม่ได้เป็นเพียงการเรียนรู้เพื่อพัฒนาตนเองเท่านั้น อาจมองได้ว่าเป็นกระบวนการหนึ่งที่นำไปสู่การเป็นผู้นำทางสังคมที่ดีได้ด้วยเช่นกัน ผู้นำที่เป็นที่ยอมรับในสังคม ล้วนแล้วแต่เป็นผู้ที่หมั่นฝึกฝนตนเองทั้งสิ้น ไม่ใช่ฝึกแค่การศึกษาเพียงแค่เรื่องความรู้หรือความสามารถทางปัญญา แต่ยังรวมถึงการพัฒนาศีลธรรมและการกระทำที่ถูกต้องในชีวิตประจำวันด้วย หากผู้นำฝึกฝนตนเองก็จะเป็นประโยชน์มากที่สุดต่อคนหมู่มาก
ประสบการณ์การทำงาน
เอนก เหล่าธรรมทัศน์ เป็นนักวิชาการและนักการเมืองที่มีประสบการณ์หลากหลาย ก่อนที่จะดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม เขามีประวัติการศึกษาทั้งวิทยาศาสตร์และสังคมศาสตร์ โดยผ่านการเรียนทั้งจากคณะแพทยศาสตร์ และคณะรัฐศาสตร์ ในส่วนของประสบการณ์การทำงานนั้น เขาได้ผ่านการทำงานทั้งในด้านวิชาการและการเมือง
ประสบการณ์ด้านบริหารวิชาการ : เอนก เหล่าธรรมทัศน์เคยเป็นอาจารย์และผู้บริหารมหาวิทยาลัย หลังจากสำเร็จการศึกษาระดับปริญญาเอกด้านรัฐศาสตร์จากมหาวิทยาลัยโคลัมเบีย สหรัฐอเมริกา เขาได้กลับมาทำงานเป็นอาจารย์ที่คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และเคยดำรงตำแหน่งรองอธิการบดีฝ่ายวิชาการ (พ.ศ.2538–2540) และคณบดีคณะรัฐศาสตร์ (พ.ศ.2542–2543) หลังจากนั้นก็ได้ดำรงตำแหน่งอธิการวิทยาลัยรัฐกิจ มหาวิทยาลัยรังสิต และเป็นรองอธิการบดีฝ่ายวิชาการของมหาวิทยาลัยรังสิต บทบาททางวิชาการของเขานั้นโดดเด่นมาก เป็นนักวิชาการที่มีชื่อเสียงที่ได้รับการยอมรับในสังคม งานเขียนบทความเผยแพร่ผ่านหนังสือพิมพ์ ผ่านเพจ Facebook รวมทั้งหนังสือ Pocket Books หลายเล่มมีอิทธิพลทางความคิดและก่อให้เกิดการถกเถียงของผู้คนในสังคมอย่างมาก
ประสบการณ์ด้านการเมือง : เอนก เหล่าธรรมทัศน์ ได้เริ่มต้นเส้นทางของตนจากการเป็นที่ปรึกษาทางการเมืองให้กับนายมารุต บุนนาค ประธานสภาผู้แทนราษฎรในขณะนั้น และมีบทบาทสำคัญในการก่อตั้งสถาบันพระปกเกล้า ซึ่งเป็นองค์กรที่มุ่งเน้นการศึกษาด้านการเมือง การปกครอง และประชาธิปไตย จากนั้นเขาได้รับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแบบบัญชีรายชื่อ สังกัดพรรคประชาธิปัตย์ และเคยดำรงตำแหน่งรองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ก่อนจะร่วมก่อตั้งพรรคมหาชนและดำรงตำแหน่งหัวหน้าพรรคคนแรก ภายหลังการรัฐประหารในปี พ.ศ.2557 เขาได้รับแต่งตั้งให้เป็นที่ปรึกษาและกรรมการในคณะกรรมการเตรียมการเพื่อสร้างความสามัคคีปรองดอง และได้รับมอบหมายให้เป็นประธานคณะกรรมการปฏิรูปประเทศด้านการเมือง และตำแหน่งสุดท้ายก่อนเป็นรัฐมนตรีคือ หัวหน้าพรรคและประธานฝ่ายนโยบายของพรรครวมพลังประชาชาติก่อนเปลี่ยนชื่อในภายหลังว่าพรรครวมพลัง
ผู้นำที่มีประสบการณ์การทำงาน ล้วนเคยเผชิญกับความท้าทายในการทำงานในภาคปฏิบัติ ผ่านการตัดสินใจในสถานการณ์ที่หลากหลาย และมีประสบการณ์ตรงในการบริหารจัดการปัญหา จะช่วยให้ผู้นำนั้นเข้าใจสถานการณ์อย่างรอบด้าน รู้ว่านโยบายแบบใดสามารถนำไปสู่การปฏิบัติได้จริงไม่ใช่เรื่องเพ้อฝัน นอกจากนี้ ประสบการณ์ยังช่วยให้ผู้นำมีวิจารณญาณที่เฉียบแหลมขึ้น เมื่อเผชิญกับสถานการณ์ที่ไม่คาดคิด จะสามารถตัดสินใจได้ ไม่ตื่นตระหนกหรือทำตามกระแสโดยไร้การไตร่ตรอง เขาเหล่านั้นสามารถใช้ประสบการณ์จากการฝึกคิด วิเคราะห์ หาทางเบี่ยง ทางลัด เพื่อพัฒนางานและแก้ไขปัญหาได้
ประการสำคัญ ผู้ที่ผ่านประสบการณ์ทั้งการนำและการปฏิบัติยังสร้างความน่าเชื่อถือ ผู้นำแบบเอนก เหล่าธรรมทัศน์ ที่มีประสบการณ์จึงได้รับความไว้วางใจจากทีมงานและผู้ร่วมงาน เพราะพวกเขาเห็นว่าผู้นำไม่ใช่มือใหม่ที่ได้ตำแหน่งมาอย่างโชคช่วย นั่นย่อมสะท้อนถึงภาวะผู้นำของเอนก เหล่าธรรมทัศน์ ที่มีความสามารถเป็นที่ประจักษ์ที่ได้รับการยอมรับมาก่อนหน้าแล้ว และนี่เป็นคุณสมบัติเบื้องต้นที่เป็นหลักประกันพื้นฐานของการเข้าสู่ตำแหน่งผู้นำ ซึ่งสามารถพิจารณาได้จากการเป็นผู้ที่พัฒนาตนเองอย่างไม่หยุดนิ่ง และมีประสบการณ์ทำงานที่สั่งสมมาอย่างต่อเนื่อง
ความสามารถของผู้นำ
จากประสบการณ์ในบทบาทหน้าที่รัฐมนตรีของเอนก เหล่าธรรมทัศน์ ที่ถ่ายทอดผ่านแนวคิดและมุมมอง ดังที่กล่าวข้างต้นตั้งแต่บทที่ 2-5 ได้แสดงให้เห็นถึงความสามารถในการนำอย่างไม่ต้องสงสัย ในที่นี้ขอสรุปความสามารถในการนำที่จำเป็นแบบเอนก เหล่าธรรมทัศน์ 6 ประการ ดังนี้
1.การคิดเชิงยุทธศาสตร์
2.การมีมุมมอง
3.การนำอย่างมีกลยุทธ์
4.การตัดสินใจ
5.การขับเคลื่อนสังคม
6.การวิจัยแบบผู้นำ
1.การคิดเชิงยุทธศาสตร์
ความสามารถในการคิดภาพใหญ่ คิดอย่างมียุทธศาสตร์เหมือนการออกรบ เพื่อชี้ให้เห็นเป้าหมายใหญ่ที่ต้องการจะบรรลุ ซึ่งเป็นเป้าหมายไม่เพียงเปลี่ยนแปลงองค์กร ยังส่งผลทางสังคมและประเทศด้วย
ผู้นำต้องคิดการใหญ่ เรื่องเล็กๆ ให้เป็นหน้าที่ของผู้บริหาร หรือผู้ใต้บังคับบัญชา เพราะมีแต่เรื่องใหญ่ๆ เท่านั้นที่จะเกิดแรงกระเพื่อม ขับเคลื่อน เปลี่ยนแปลงองค์กรหรือประเทศได้ เอนก เหล่าธรรมทัศน์พิสูจน์แนวคิดนี้ด้วยการส่งเสริมการวิจัยเรื่องอารยธรรมสุวรรณภูมิ เป็นความคิดที่ต้องการยกระดับประเทศไทยซึ่งเป็นที่ตั้งของดินแดนสุวรรณภูมิ มีประวัติศาสตร์มากว่า 2,500-3,000 ปี เทียบเท่ากับอารยธรรมกรีก-โรมันนั้น จะเป็นสิ่งที่ทำให้ทั่วโลกหันมาสนใจประเทศไทยมากขึ้น เป็น Soft Power ที่ไม่ต้องลงทุนมาก เพราะเป็นข้อได้เปรียบที่ไทยมีมาตั้งแต่อดีตแต่ไม่เคยหยิบมาเป็นจุดขายของประเทศ และเรื่องการส่งจรวดโคจรรอบดวงจันทร์ เป็นการตั้งเป้าหมายใหญ่ คิดเชิงยุทธศาสตร์เพื่อให้เป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญที่ทำให้เกิดการพัฒนาทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีอย่างก้าวกระโดด เช่นเดียวกับที่ประเทศมหาอำนาจเคยใช้แนวทางนี้ในการพัฒนาเทคโนโลยีของตนเอง ตัวอย่างเช่น สหรัฐอเมริกากับโครงการอพอลโล หรือจีนกับโครงการสำรวจดวงจันทร์ฉางเอ๋อ โครงการไทยไปดวงจันทร์จึงไม่ใช่แค่ไปดวงจันทร์ แต่หมายถึงการผลักดันให้ประเทศไทยเข้าสู่ เศรษฐกิจอวกาศ (Space Economy) ซึ่งเป็นอุตสาหกรรมที่กำลังเติบโตอย่างรวดเร็วทั่วโลก และเป็นโอกาสใหม่ในการพัฒนานวัตกรรมด้านอวกาศ เทคโนโลยีดาวเทียม และระบบการสื่อสารขั้นสูง
2.การมีมุมมอง
การมีมุมมองเป็นการแสดงถึงทัศนะที่กว้างและคมชัด ทำให้เห็นประเด็นที่โดดเด่นและสามารถดำเนินการได้ทันที และยังเป็นความสามารถในการคิดเกี่ยวกับปัญหาและการตัดสินใจในทางที่สมเหตุสมผล โดยมีมุมมองเป็นกรอบคิดและแนวทางในการตัดสินใจ การทำงาน และการบริหารจัดการ เพราะการที่จะประสบความสำเร็จไม่ได้ขึ้นอยู่กับเพียงแค่ความขยันหรือความฉลาด แต่ขึ้นอยู่กับการมีมุมมองที่สามารถมองเห็นโอกาสในทุกสถานการณ์ และนำพาตัวเองและองค์กรไปในทิศทางที่สร้างสรรค์และพัฒนาได้
เอนก เหล่าธรรมทัศน์มองว่า คนแก้ปัญหาได้เป็นคนเก่ง แต่คนที่เก่งกว่า คือ คนที่มองเห็นปัญหาเป็นโอกาส และ “ช่วงชิง” โอกาสนั้นมาให้ตัวเอง เพราะปัญหาแก้เท่าไรก็ไม่หมด และปัญหาเป็นนามธรรม (Subjective) ไม่ใช่รูปธรรมที่จับต้องได้ (Objective) จึงขึ้นกับมุมมองต่อปัญหานั้นๆ ของผู้นำ ตัวอย่างที่เห็นชัดที่สุดคือ เขาสามารถใช้วิกฤต COVID-19 ทำให้ประชาชนรู้จักกระทรวง อว. ภายใน 1-2 ปี เพราะ อว.เป็นกระทรวงใหม่ แต่หลังจากกระทรวง อว.ทำโรงพยาบาลสนาม เปิดศูนย์ฉีดวัคซีน คนรู้จักและจำกระทรวง อว.ได้ทันที ไว้ใจและอุ่นใจที่มี อว.เข้ามาดูแลด้วย กรณีนี้กล่าวได้ว่า เป็นมุมมองที่ช่วยพลิกวิกฤตให้เป็นโอกาส และยิ่งในยุคของ BIG DATA เขาเห็นว่าข้อมูลมีมากมาย ถ้าเรามีมุมมอง (Perspective) ที่กว้าง และชัด เราจะเลือกหยิบข้อมูลที่สำคัญ และ เร่งด่วนมาใช้ได้.