บัวแก้วเปิดรายละเอียด ไทยได้อะไรจากMOU43
บัวแก้วเปิดรายละเอียด
ไทยได้อะไรจากMOU43
ในห้วงเวลาที่ผ่านมา มีเสียงเรียกร้องจากบางฝ่ายให้ยกเลิกบันทึกความเข้าใจระหว่างรัฐบาลไทยกับรัฐบาลกัมพูชา ว่าด้วยการสำรวจและจัดทำหลักเขตแดนทางบก หรือ MOU 2543 และ บันทึกความเข้าใจระหว่างรัฐบาลไทยกับรัฐบาลกัมพูชาว่าด้วยพื้นที่ที่ไทยและกัมพูชาอ้างสิทธิในไหล่ทวีปทับซ้อนกัน หรือ MOU 2544 ด้วยการให้เหตุผลและตีความกันไปหลากหลาย ล่าสุดวุฒิสภาได้มีมติตั้งคณะกรรมาธิการเพื่อศึกษาหาข้อสรุปว่าควรจะมีการยกเลิก MOU ทั้งสองฉบับหรือไม่ เพื่อนำส่งข้อเสนอไปยังรัฐบาลต่อไป ขณะที่ในส่วนของสภาผู้แทนราษฎรยังไม่ได้ตั้งคณะกรรมาธิการขึ้น แต่ก็เป็นขั้นตอนที่จะต้องมีการดำเนินการต่อไปในลักษณะเดียวกันในเร็วๆ นี้
ทั้งหมดทั้งมวลต้องยอมรับว่า ประเด็นเรื่องเขตแดนระหว่างไทย-กัมพูชาเป็นเรื่องละเอียดอ่อนและเปราะบางอย่างยิ่ง ในสัปดาห์ที่ผ่านมา กระทรวงการต่างประเทศ ได้ให้ข้อมูลเกี่ยวกับ MOU 2543 โดย นายเบญจมินทร์ สุกาญจนัจที อธิบดีกรมสนธิสัญญาและกฎหมาย ร่วมกับ นายนิกรเดช พลางกูร อธิบดีกรมสารนิเทศ และโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ
นายนิกรเดชเน้นย้ำว่าประเทศไทยมีความตั้งใจที่จะแก้ไขปัญหาอย่างสันติวิธี โดยยึดมั่นในกลไกที่มีอยู่เช่น MOU 2543 แต่เนื่องจากปัจจุบันสังคมไทยยังมีความไม่เข้าใจเกี่ยวกับบันทึกความเข้าใจ และมีกระแสเรียกร้องให้ยกเลิกอยู่ จึงอยากให้ อธิบดีกรมสนธิสัญญาและกฎหมายในฐานะผู้เชี่ยวชาญมาให้ความรู้ หลังจากที่อธิบดีเบญจมินทร์ได้อธิบายถึงประเด็นบ้านหนองจานอย่างละเอียดและชัดเจนไปก่อนหน้านี้แล้ว
นายเบญจมินทร์กล่าวว่า กฎหมายและเอกสารที่เกี่ยวข้องกับการสำรวจและจัดทำหลักเขตแดนประกอบด้วย 1. หนังสือสัญญาระหว่างกรุงสยามกับกรุงฝรั่งเศส ลงวันที่ 13 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1907
2. หนังสือสัญญาระหว่างพระเจ้าแผ่นดิน สยามกับประธานาธิบดีแห่งสาธารณรัฐฝรั่งเศส ลงวันที่ 23 มีนาคม ค.ศ. 1907
3.แผนที่ที่จัดทำขึ้น ตามผลงานของคณะกรรมการปักปันเขตแดนระหว่างสยามกับอินโดจีน ตามสนธิสัญญาทั้งสองฉบับ
4.เอกสารอื่นที่เกี่ยวข้องกับการบังคับใช้อนุสัญญาสยาม-ฝรั่งเศส ค.ศ. 1904 และ ค.ศ. 1907
และ 5.บันทึกความเข้าใจว่าด้วยการสำรวจและจัดทำหลักเขตแดนทางบก พ.ศ. 2543 (MOU 2543)
MOU 2543 เป็นการกำหนดกรอบความตกลง และกลไกเพื่อร่วมกันสำรวจและจัดทำหลักเขตแดน เพื่อให้ได้แผนที่ที่นำมาใช้ได้จริง โดยใช้อนุสัญญาสยาม-ฝรั่งเศส ค.ศ. 1904 และ ค.ศ. 1907 เป็นพื้นฐาน เนื่องจากหนังสือสัญญาดังกล่าวได้ให้อำนาจคณะกรรมการปักปันเขตแดน เพื่อให้ไปทำแผนที่โดยใช้ สันปันน้ำ แม่น้ำ และแนวเส้นตรง รวมถึงยังมีเอกสารอื่นๆ เช่น แผนที่ที่จัดทำขึ้นตามผลงานของคณะกรรมการ ปักปันเขตแดน และเอกสารที่เกี่ยวข้องกับการบังคับใช้อนุสัญญาฉบับปี ค.ศ. 1904 และ 1907 ระหว่าง สยาม-ฝรั่งเศส
MOU 2543 มีกลไกลักษณะเดียวกับอนุสัญญาสยาม-ฝรั่งเศสฉบับปี ค.ศ. 1904 และ ค.ศ. 1907 โดยมีการสร้างกรอบความตกลงและจัดตั้งคณะกรรมาธิการปักปันเขตแดน คล้ายกับคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วม (JBC) เพื่อดำเนินการจัดทำ แผนที่ที่สามารถใช้งานได้จริง
คณะกรรมาธิการ JBC ไทย-กัมพูชา มีหน้าที่สำรวจจัดทำหลักเขตแดน ทำแผนแม่บทกำหนดอำนาจหน้าที่ กำหนดความเร่งด่วนของพื้นที่ และมอบหมายให้คณะอนุกรรมาธิการเทคนิค (JTSC) ลงพื้นที่ เพื่อสำรวจแนวเส้นเขตแดน และพิสูจน์ตำแหน่งที่แน่ชัดของหลักเขตแดนทั้ง 74 หลักเพื่อจัดทำแผนที่ รวมถึงการพิจารณารายงาน และข้อเสนอของคณะกรรมาธิการเทคนิค และที่สำคัญคือการผลิตแผนที่ที่ไทย-กัมพูชา สามารถนำมาใช้ร่วมกันได้จริง ซึ่งจะต้องผ่านกระบวนการตามรัฐธรรมนูญ เพื่อให้รัฐสภาพิจารณาให้ความ เห็นชอบก่อน
MOU 2543 มีความสำคัญเนื่องจากเป็นกรอบที่ความร่วมมือที่ถูกกำหนดไว้ โดยเฉพาะข้อ 3 ที่กำหนดให้คณะสำรวจพื้นที่ต้องได้รับการคุ้มครองความปลอดภัยจากทุ่นระเบิด ข้อ 5 ที่กำหนดให้ทั้งสองฝ่าย งดเว้นการดำเนินการใดๆ ที่อาจเปลี่ยนแปลงสภาพแวดล้อมของพื้นที่ชายแดน และข้อ 8 ที่เน้นย้ำให้ทั้งสองฝ่าย แก้ไขปัญหาชายแดนที่อาจเกิดขึ้นด้วยกลไกทวิภาคีอย่างสันติวิธี ทั้งนี้มีข้อสังเกตว่า การกระทำที่ผ่านมาของฝ่ายกัมพูชา เช่นการเสนอเรื่อง 4 พื้นที่ให้ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (ICJ) พิจารณา และความพยายามที่จะดึงประเทศอื่นเข้ามาเกี่ยวข้อง มีลักษณะที่ขัดแย้งกับหลักการใน MOU และรู้สึกแปลกใจที่ฝ่ายกัมพูชาตัดสินใจดำเนินการไปในทิศทางดังกล่าว
อธิบดีเบญจมินทร์ย้ำว่า MOU 2543 กำหนดให้ทั้งไทยและกัมพูชาต้องงดเว้นการดำเนินการใดๆ ที่มีผลเป็นการเปลี่ยนแปลงสภาพแวดล้อมของพื้นที่ชายแดน เพื่อไม่ให้มีผลกระทบต่อการสำรวจเขตแดน เช่น การไม่ขุดคูเลท หรือการไม่ควรมีที่ตั้งทางทหารเป็นต้น และหากเกิดปัญหาการตีความการบังคับใช้ MOU ทั้งสองฝ่ายต้องเจรจากันตามที่ MOU กำหนดไว้ โดยไม่หลีกเลี่ยงไปให้บุคคลที่ 3 หรือกลไกอื่นมาร่วมแก้ปัญหา นอกจากนี้ MOU 2543 ยังกำหนดให้ทั้งไทยและกัมพูชาร่วมกันดำเนินการกู้ทุ่นระเบิดสังหารบุคคลในพื้นที่ เพื่อให้อนุกรรมาธิการ JTSC สามารถลงพื้นที่เพื่อสำรวจและจัดทำหลักเขตแดนและแผนที่ใหม่ได้อย่างปลอดภัยด้วย
การยกเลิก MOU 2543 ไม่สามารถทำให้หนีจากข้อเท็จจริงตามสนธิสัญญาสยาม-ฝรั่งเศส ค.ศ. 1904 และ ค.ศ. 0907 ได้ เพราะมีผลผูกพันทั้งไทยและกัมพูชา และไม่สามารถหนีแผนที่ 1:200,000 ได้ รวมทั้งเอกสารอ้างอิงทั้งหมดภายใต้ MOU 2543 และต้องกลับมาเริ่มต้นนับหนึ่งใหม่ทั้งหมด
การประชุม JBC ไทย-กัมพูชา เมื่อเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา ได้มีการเห็นชอบผลงานการสำรวจหลักเขตแดนของ JTSC แล้ว 45 หลัก จากจำนวน 74 หลัก โดยมี 29 หลักที่ยังไม่สามารถตกลงร่วมกันได้ ซึ่งพิสูจน์ได้แล้วว่า กลไกคณะกรรมาธิการร่วม JBC ไทย-กัมพูชา ตาม MOU 2543 สามารถใช้งานได้ และกำลังอยู่ระหว่างการดำเนินการ
เมื่อถามว่ากระแสสังคมในขณะนี้ตั้งคำถามว่าไทยจะได้ประโยชน์จากการมีอยู่ หรือยกเลิก MOU 2543 มากกว่ากัน และหากมีการยกเลิก MOU 2543 จริงๆ จะเป็นการปิดโอกาสที่ไทยจะร่วมมือกับ กัมพูชาเพื่อแก้ไขปัญหาหรือไม่ และจะเกิดอะไรขึ้นตามมา อธิบดีเบญจมินทร์กล่าวว่า ไทยมีข้อได้เปรียบจากกลไกที่มีอยู่ใน MOU 2543 อยู่แล้ว โดยเฉพาะข้อ 3, 5 และ 8 ที่ได้กล่าวถึง และหากยกเลิก MOU ก็ยังจำเป็นต้องกลับไปใช้เอกสารประวัติศาสตร์ที่มีอยู่โดยหลีกเลี่ยงไม่ได้ และก็คงต้องมีการจัดทำ MOU ฉบับใหม่ แต่โดยส่วนตัวแล้วนึกไม่ออกว่าเนื้อหาของ MOU ฉบับใหม่จะแตกต่างจากที่มีอยู่ในฉบับปัจจุบันอย่างไร เพราะอย่างไรก็ต้องอ้างอิงเอกสารตั้งต้นชุดเดียวกัน
ผู้สื่อข่าวถามว่า ในสนธิสัญญาปี ค.ศ. 1904 และ ค.ศ. 1907 มีการกำหนดการใช้ แผนที่ 1:200,000 ไว้หรือไม่ นายเบญจมินทร์กล่าวว่า ไม่มีโดยตรง เพราะสนธิสัญญาดังกล่าวกำหนดให้มีการจัดตั้งคณะกรรมการปักปันเขตแดนเพื่อจัดทำแผนที่ โดยแผนที่ที่ถูกทำขึ้นเป็นผลจากการดำเนินการของ คณะกรรมการปักปันเขตแดน
ด้านนายนิกรเดชสรุปว่า การที่ไทยและกัมพูชาเห็นชอบเรื่องที่ตั้งหลักเขตแดนไปแล้ว 45 จาก 74 หลัก หรือคิดเป็นราว 60% ของหลักเขตแดนทางบกระหว่างกัน สะท้อนว่าคณะกรรมาธิการ JBC ได้ดำเนินการที่ผ่านมาอย่างมีประสิทธิภาพ และหาก MOU 2543 ถูกยกเลิกก็จะทำให้ความคืบหน้าที่มาถึงจุดนี้สูญเสียไป
เมื่อพิจารณาจากบริบทข้างต้น หากเราต้องการให้การแก้ไขปัญหาระหว่างไทย-กัมพูชา เดินหน้าต่อไปได้ในกรอบทวิภาคี การมีกลไกที่ได้รับความเห็นชอบจากทั้งสองประเทศที่จะช่วยให้การเดินหน้าปักปันเขตแดนระหว่างกันเกิดความชัดเจนขึ้นจึงมีความจำเป็นอย่างยิ่ง และต้องเป็นกลไกที่สามรถใช้งานได้ทันที ดังที่เราได้เห็นการประชุม JBC ครั้งที่ 6 เมื่อวันที่ 14 มิถุนายนที่ผ่านมา ซึ่งเป็นการประชุมครั้งแรกหลังเว้นว่างไปถึง 13 ปี ที่ไม่ว่าใครจะพูดอย่างไร แต่อย่างน้อยที่สุดมันเปรียบได้กับการสตาร์ทเครื่องยนต์ของกลไกที่หยุดชะงักไปมานาน และคาดหวังว่าจะได้เห็นการประชุมรอบใหม่ในเร็วๆ นี้ ขณะที่การประชุมในกรอบอื่นๆ อย่างคณะกรรมการชายแดนทั่วไป (GBC) และคณะกรรมการชายแดนส่วนภูมิภาค (RBC) ไทย-กัมพูชา ก็เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องหลังเหตุปะทะกันครั้งใหญ่ที่สุดในรอบหลายปี ซึ่งก็ช่วยลดความตึงเครียดลงไปได้ในระดับหนึ่ง
บรรยากาศในความสัมพันธ์ระหว่างกันที่ดี เป็นสิ่งที่เอื้อให้ทั้งสองฝ่ายเจรจากันได้ ซึ่งบรรยากาศที่เอื้อต่อการเจรจาดูเหมือนจะไม่แจ่มใสนักในเวลานี้ สิ่งที่เราต้องตระหนักคือ “ไม่เคยปัญหาใดที่จบได้ด้วยการสู้รบ แต่ต้องจบที่โต๊ะเจรจา” ยังเป็นคำกล่าวที่สะท้อนหนทางแห่งการแก้ปัญหาเสมอ ไม่ว่าจะในสถานการณ์ใดก็ตาม
อ่านข่าวต้นฉบับได้ที่ : บัวแก้วเปิดรายละเอียด ไทยได้อะไรจากMOU43
ติดตามข่าวล่าสุดได้ทุกวัน ที่นี่
– Website : https://www.matichon.co.th