กลยุทธ์5ด้านการท่าเรืออำนวยความสะดวกปรับตัวรับมือภาษีทรัมป์19%
ข้อมูลจาก การท่าเรือแห่งประเทศไทย (กทท.) ระบุถึง การที่ไทยสหรัฐปิดดีลภาษีได้ที่ 19% การท่าเรือในฐานะด่านหน้าซึ่งคอยขับเคลื่อนการค้าระหว่างประเทศและเป็นหัวใจสำคัญของโลจิสติกส์ทางน้ำจึงปรับกลยุทธ์เพื่อรับมือการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจครั้งใหญ่นี้ด้วย 5 กลยุทธ์
เตรียมความพร้อมโครงสร้างพื้นฐานสิ่งอำนวยความสะดวก :เดินหน้าพัฒนาธุรกิจบริการเกี่ยวเนื่อง เช่น โครงการท่าเรือแหลมฉบังระยะที่ 3 เชื่อมถนน-ราง-เรือ เร่งแก้ไขปัญหาการจราจร ช่วยผู้ใช้บริการมีความสะดวกคล่องตัว
จับมือหน่วยงานภาครัฐจับตาสถานการณ์แบบเรียลไทม์พร้อมหาตลาดใหม่ : ร่วมมือหน่วยงานภาครัฐ เอกชน และสายเรือ เตรียมรับมือทางการตลาดเชิงรุก-รับอย่างทันท่วงที พร้อมหาตลาดใหม่ อาทิ กลุ่ม BRICS เอเชียใต้ ตะวันออกกลาง ฯลฯ
เชื่อมโยงข้อมูลกับท่าเรือต่างประเทศด้วย Big Data : ใช้ Big data วิเคราะห์พฤติกรรม แนวโน้มการค้า การลงทุน เพื่อช่วย
คู่ค้า-ผู้นำเข้าส่งออกวางแผนล่วงหน้าเตรียมพร้อมทุกสถานการณ์
พัฒนาศักยภาพพื้นที่ท่าเรือให้เกิดประโยชน์สูงสุด : สร้างมูลค่าเพิ่มในพื้นที่ท่าเรือกรุงเทพและท่าเรือแหลมฉบังให้เกิดประโยชน์ทั้งพื้นที่หน้าท่าและหลังท่า เพื่อสามารถสร้างขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศได้ในอนาคต
ลดขั้นตอน ลดต้นทุน ขนส่งรวดเร็วยิ่งขึ้น : ใช้เทคโนโลยีดิจิทัลพัฒนาระบบหลังบ้าน มีระบบการจองคิวล่วงหน้า ลดขั้นตอนพิธีการศุลกากร ช่วยกระบวนการนำเข้าส่งออกมีประสิทธิภาพ
“กทท. มุ่งยกระดับมาตรฐานโลจิสติกส์สู่ความเป็นเลิศ พร้อมปรับตัวในทุกสภาวะเศรษฐกิจและการค้าโลก เคียงข้างผู้ประกอบการก้าวข้ามวิกฤติ สร้างโอกาส และเติบโตไปด้วยกันอย่างยั่งยืน”
นางมนพร เจริญศรี รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม กล่าวว่า การท่าเรือแห่งประเทศไทย (กทท.) ได้นำระบบใบสั่งปล่อยสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ (NSW e-D/O) มาให้บริการนำร่องที่ท่าเรือกรุงเทพเป็นแห่งแรก ภายใต้นโยบายแผนพัฒนาด้านดิจิทัลกระทรวงคมนาคม พ.ศ. 2566 - 2570 ที่มุ่งเน้นการใช้เทคโนโลยีดิจิทัล เพิ่มประสิทธิภาพระบบขนส่งและโลจิสติกส์ของประเทศ ส่งเสริม Smart Port และ Digital Logistics ยกระดับการให้บริการให้เชื่อมโยงแบบไร้รอยต่อ พร้อมรองรับการเปลี่ยนแปลงของเศรษฐกิจยุคใหม่อย่างเป็นรูปธรรม
นางมนพร กล่าวต่อว่า การนำระบบ NSW e-D/O มาใช้ จะช่วยลดขั้นตอนการดำเนินงาน ซึ่งสามารถลดเวลารอคอยจากเดิม 3 วัน ให้เหลือเพียง 1 วัน รวมทั้งลดการใช้กระดาษ และต้นทุนโลจิสติกส์ของผู้ประกอบการ ซึ่งจะช่วยเสริมสร้างศักยภาพการแข่งขันของ
ผู้ประกอบการไทย และความเข้มแข็งทางเศรษฐกิจของประเทศ ถือเป็นก้าวสำคัญในการพัฒนาการให้บริการด้านโลจิสติกส์ของประเทศให้ทันสมัย ตอบโจทย์การเปลี่ยนผ่านสู่เศรษฐกิจดิจิทัล
สอดคล้องกับเป้าหมายของรัฐบาลในการผลักดันให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลาง โลจิสติกส์ของภูมิภาค พร้อมวางรากฐานและผลักดัน กทท. สู่การเป็น Smart Port อย่างเต็มรูปแบบ ทั้งในด้านกระบวนการ เทคโนโลยี และการให้บริการในทุกมิติ
เรือโท ภูมิ แสงคำ ผู้อำนวยการท่าเรือกรุงเทพ กล่าวเพิ่มเติมว่า กทท. ได้ดำเนินการพัฒนาระบบใบสั่งปล่อยสินค้า หรือ NSW e-D/O ร่วมกับบริษัท โทรคมนาคมแห่งชาติ จำกัด (มหาชน) (NT) และกรมศุลกากร โดยการใช้แพลตฟอร์ม THAI NSW ของ NT ซึ่งเป็นหน่วยงานหลักในการพัฒนาและผลักดันระบบฯ ให้มีกระบวนการด้านเอกสารการนำเข้าสินค้าทางเรือที่ทันสมัยทัดเทียมกับมาตรฐานระดับโลก และสามารถเชื่อมโยงกับระบบปฏิบัติการของท่าเรือทั้งในส่วนของการจ่ายค่าภาระ ค่าบริการ และกระบวนการปล่อยสินค้าแบบเรียลไทม์ ซึ่งเป็นเครื่องมือสำคัญในการเปลี่ยนผ่านรูปแบบการดำเนินการจากเอกสารแบบเดิมสู่ระบบดิจิทัลแบบครบวงจร