ตะวันลับฟ้า เมื่อ "ความมืด" คือศัตรูที่กองทัพโบราณหวาดกลัว
ในประวัติศาสตร์การสงคราม ความมืดของยามค่ำคืนคือศัตรูที่ยิ่งใหญ่ไม่แพ้กองทัพฝ่ายตรงข้าม แม้ว่ากฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศ (IHL) จะไม่มีข้อห้ามชัดเจนเกี่ยวกับการรบในเวลากลางคืน แต่ข้อจำกัดด้านทัศนวิสัย การควบคุมกองกำลัง และความเสี่ยงต่อความสูญเสียโดยไม่จำเป็น ทำให้กองทัพโบราณส่วนใหญ่หลีกเลี่ยงการสู้รบเมื่อแสงสว่างหมดไป การรบยามค่ำไม่เพียงท้าทาย แต่ยังอาจถูกมองว่าไร้เกียรติในบางวัฒนธรรม ไทยพีบีเอสออนไลน์ชวนย้อนรอยประวัติศาสตร์ ธรรมเนียม และการประณามที่อาจเกิดจากการรบในความมืด
ยุคไร้ไฟ "ความมืด" คืออุปสรรค
ข้อมูลเรื่อง History of Rome ในยุคโบราณ การรบมักเกิดขึ้นในช่วงเวลากลางวันจนกลายเป็นบรรทัดฐานการรบ เนื่องจากทัศนวิสัยที่ชัดเจนช่วยให้กองทัพสามารถควบคุมและประสานงานได้ เช่นในยุทธการที่คันนาย (216 ปีก่อนคริสตกาล) "ฮันนิบาล" เอาชนะกองทัพโรมัน ก็เกิดการรบขึ้นในเฉพาะเวลากลางวัน เพื่อใช้ประโยชน์จากภูมิประเทศและการจัดทัพ
การรบในยามค่ำคืนหลังตะวันตกดินนั้นหาได้ยากมาก เนื่องจากขาดแสงสว่างจากคบเพลิงหรือตะเกียง ทำให้ทหารมองไม่เห็นเป้าหมาย การสื่อสารด้วยสัญญาณภาพ เช่น ธง หรือแตร ก็กลายเป็นเรื่องยาก ความสับสนในความมืดอาจนำไปสู่การยิงพวกเดียวกัน (Friendly fire) หรือการหลงทิศทาง กลายเป็นหายนะสำหรับกองทัพขนาดใหญ่
History of the Peloponnesian War เล่าว่า ในสมัยกรีกโบราณ การรบยามค่ำคืนมักจำกัดอยู่ที่ "การลอบโจมตี" เช่น การจู่โจมค่ายศัตรูเพื่อขโมยเสบียงหรือจับเชลย ตัวอย่างเช่น ในสงครามเพโลพอนนีเซียน (431-404 ปีก่อนคริสตกาล) ชาวสปาร์ตันใช้การโจมตีตอนกลางคืนในปฏิบัติการขนาดเล็กเพื่อสร้างความได้เปรียบ
ในยุคกลางของยุโรป อัศวินและกองทัพมักหยุดรบเมื่อตะวันตกดิน เพื่อตั้งค่ายและพักผ่อน เนื่องจากความมืดทำให้การควบคุมทหารม้าและทหารราบ เป็นไปไม่ได้
ในอินเดียโบราณ ตามมหาภารตะ มีธรรมเนียมที่เรียกว่า "ธรรมยุทธ" ซึ่งกำหนดว่าการรบควรเกิดในเวลากลางวันเพื่อรักษาความยุติธรรมและเกียรติ การรบยามค่ำถูกมองว่าไม่เหมาะสมและอาจนำไปสู่ความโกลาหล อย่างไรก็ตาม ในบางกรณี เช่น ยุทธการกุรุเกษตร การรบยืดเยื้อจนถึงกลางคืนเมื่อสถานการณ์บีบคั้น แสดงให้เห็นว่าการรบยามค่ำเป็นข้อยกเว้น ไม่ใช่บรรทัดฐาน
ธรรมเนียมการรบในอดีตมักกำหนดโดยข้อจำกัดทางปฏิบัติ ในยุคที่ปราศจากเครื่องมือส่องสว่างที่ทันสมัย ความมืดทำให้การควบคุมกองทัพเป็นฝันร้าย เสียงในยามค่ำ เช่น เสียงสัตว์หรือลม อาจถูกตีความผิดว่าเป็นการเคลื่อนไหวของศัตรู นำไปสู่ความตื่นตระหนก
ในสมัยโรมัน กองทัพมักตั้งค่ายที่มีกำแพงป้องกันเมื่อค่ำลง เพื่อป้องกันการโจมตีฉับพลันและรักษาความปลอดภัย ในวัฒนธรรมจีนโบราณ เช่น ในสมัยสามก๊ก การรบยามค่ำถูกใช้ในยุทธวิธีขนาดเล็ก เช่น การซุ่มโจมตีของขงเบ้งเพื่อสร้างความประหลาดใจ การรบขนาดใหญ่ในเวลากลางคืนยังคงหายาก เนื่องจากความยากในการบริหารจัดการ ธรรมเนียมเหล่านี้จึงสะท้อนถึงความเข้าใจร่วมกันว่า การรบยามค่ำมีความเสี่ยงสูงต่อทั้ง 2 ฝ่าย
กฎหมายมนุษยธรรมกับการรบยามวิกาล
กฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศ (IHL) ซึ่งมีรากฐานจากอนุสัญญาเจนีวา ไม่มีข้อห้ามเฉพาะเกี่ยวกับการรบในเวลากลางคืน แต่ IHL มุ่งเน้นการปกป้องพลเรือน ผู้บาดเจ็บ และสถานพยาบาล โดยไม่คำนึงถึงช่วงเวลาของวัน
อย่างไรก็ตาม การรบในความมืดอาจเพิ่มความเสี่ยงในการละเมิด IHL เช่น การโจมตีพลเรือนโดยไม่ได้ตั้งใจ เนื่องจากทัศนวิสัยต่ำ ตัวอย่างเช่น การโจมตีโรงพยาบาลในเมืองคุนดุซ อัฟกานิสถาน ในปี 2015 ซึ่งเกิดในเวลากลางคืน ถูกประณามว่าเป็นการละเมิด IHL เนื่องจากขาดความระมัดระวัง
รบยามค่ำไม่ผิดกฤหมาย แต่ไร้เกียรติ
ในอดีต การรบยามค่ำไม่ถูกประณามในแง่กฎหมาย แต่ถูกมองว่าไร้เกียรติในบางวัฒนธรรม ในยุคโบราณของอินเดียและยุโรป การรบในเวลากลางวันถือเป็นการแสดงถึงความกล้าหาญและความยุติธรรม การโจมตีในความมืดอาจถูกวิจารณ์ว่าเป็นการกระทำของฝ่ายที่ด้อยกว่า ซึ่งต้องพึ่งพาความลับและการหลอกลวง ตัวอย่างเช่น ในยุคกลาง การโจมตีค่ายศัตรูยามค่ำอาจถูกมองว่าเป็นการทรยศต่อจรรยาบรรณของอัศวิน
ในยุคปัจจุบัน การรบยามค่ำไม่ถูกประณามหากปฏิบัติตาม IHL เช่น การแยกแยะระหว่างเป้าหมายทหารและพลเรือน อย่างไรก็ตาม หากการรบในเวลากลางคืนนำไปสู่การโจมตีพลเรือนหรือสถานพยาบาลโดยไม่เลือกเป้า การกระทำนั้นจะถูกประณามว่าเป็นอาชญากรรมสงคราม ตัวอย่างเช่น การโจมตีโรงงานยาในซูดาน ในปี 1998 โดยสหรัฐฯ ซึ่งเกิดในเวลากลางคืน ถูกวิจารณ์อย่างหนักจากนานาชาติ เนื่องจากเป้าหมายไม่ใช่ฐานทหาร
ที่มาของข้อมูล : Night combat, THE HISTORY OF THE PELOPONNESIAN WAR, Reading History in the Roman Empire, International Committee of the Red Cross (ICRC)
อ่านข่าวอื่น :
7 สายการบินของไทยเพิ่มที่นั่ง พร้อมรับคนไทยกลับจากกัมพูชา
สธ.เผยชาวไทยเสียชีวิต 11 คน ทหาร 1 นาย เหตุกัมพูชายิงจรวด BM-21