โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

การเมือง

เรื่องที่ถูกลืมตรงเส้นพรมแดนไทย-กัมพูชา

Thairath Plus - ไทยรัฐพลัส

อัพเดต 10 ชั่วโมงที่ผ่านมา • เผยแพร่ 1 วันที่แล้ว
ภาพไฮไลต์

ไม่ถึง 24 ชั่วโมงที่แล้ว มีโปสเตอร์ประชาสัมพันธ์ทางโซเชียลมีเดียของ Bangkok Design Week 2026 หรือ เทศกาลงานออกแบบกรุงเทพฯ ที่ว่ากันว่าเป็นการแสดงงานออกแบบที่ใหญ่ที่สุดในภูมิภาค ที่จะจัดขึ้นต้นปีหน้า มีผู้เข้าร่วมระดับนานาชาติจำนวนมาก พร้อมเปิดรับสมัครผู้เข้าร่วมจัดเทศกาลตามข้อความประชาสัมพันธ์ที่ว่าไว้

ที่น่าตะขิดตะขวงใจคือ ธีมของงาน (เวอร์ชั่นก่อนแก้ไข ที่ใครต่อใครน่าจะแคปกันไว้เป็นดิจิทัลฟุตปรินท์ได้) คือ Design S/O/S ออกแบบพร้อมรบ

เพื่อไม่ให้เป็นเรื่องเหนือจริง จึงขอคัดส่วนหนึ่งของข้อความมา

“เทศกาลงานออกแบบกรุงเทพฯ 2569 หรือ Bangkok Design Week 2026 (BKKDW2026) จะจัดขึ้นเป็นครั้งที่ 9 ระหว่างวันที่ 29 มกราคม - 8 กุมภาพันธ์ 2569 ภายใต้ธีม DESIGN S/O/S ออกแบบพร้อมรบ โดยจะเนรมิตสมรภูมิสร้างสรรค์ขึ้นในย่านต่างๆ…”

“…เทศกาลฯ จึงขอส่งสัญญาณ DESIGN S/O/S ไม่ใช่สัญญาณของความช่วยเหลือ แต่คือสัญญาณ ‘พร้อมรบ’ ผนึกกำลังนักสร้างสรรค์ นักออกแบบ นักธุรกิจ นักคิด นักฝัน นักวิจารณ์ นักเชื่อม นักทำ และทุกคนที่เชื่อในพลังการเปลี่ยนแปลงด้วยการลงมือทำ ถึงเวลาลับฝีมือ หยิบพลังสร้างสรรค์มาเป็นอาวุธ เพื่อต่อสู้กับวิกฤติที่ยืดเยื้อ ด้วยกลศึก DESIGN S/O/S”

ดูเหมือนว่าการประชาสัมพันธ์นี้กลายเป็นวิกฤติในตัวมันเอง และ S/O/S ในส่วนของงานมีคำอธิบายว่า S=ออกแบบแนวรับ O=ออกแบบแนวรุก S=ออกแบบแนวหน้า ส่วนในความหมายที่รับรู้กันทั่วไป SOS คือ สัญญาณขอความช่วยเหลือฉุกเฉินสากล เป็นชุดรหัสมอร์สจำง่าย 3 จุด 3 ขีด 3 จุด คงเป็นความบังเอิญแบบตั้งใจว่าวันที่รหัส SOS ถูกนำมาใช้พาดหัวงานเทศกาลศิลปะ คือวันที่มีผู้คนร่วมชาติและเพื่อนบ้านต้องการความช่วยเหลือ เพราะกำลังถูกคุกคามถึงชีวิต จากการใช้กำลังอาวุธโดยไม่จำเป็น

หากเป็นช่วงวันชื่นคืนสุข ธีมที่ว่าคงเดินหน้าอย่างราบรื่น แต่อาจเป็นความบังเอิญแบบตั้งใจอีกแล้ว ที่คำว่า ‘พร้อมรบ’ ถูกนำมาใช้ในบริบทงานศิลปะกลางเมือง ที่สถานการณ์ความขัดแย้งชายแดนไทย-กัมพูชากำลังคุกรุ่น ความสูญเสียไม่ได้เกิดเฉพาะฝั่งไทยเท่านั้น เพราะความตายไม่สนว่าใครจะยืนอยู่บนแผ่นดินไหน ไม่นับคนเจ็บ คนลี้ภัย คนพลัดที่นาคาที่อยู่ เป็นจำนวนมาก

ส่วนข้อเท็จจริงที่ว่า ใครยิงใครก่อน กัมพูชายิงเป้าหมายพลเรือน มีการละเมิดสิทธิมนุษยชนตรงจุดไหนบ้าง หรือเรื่องอื่นๆ ที่แวดล้อม นั่นคืออีกประเด็นหนึ่ง

น่าตะขิดตะขวงใจ ว่าการสู้รบด้วยอาวุธห่างจากเมืองหลวงศิวิไลซ์แค่หลักร้อยกิโลเมตร กลายเป็นธีมงาน ‘พร้อมรบ’ …เชื่อเหลือเกินว่าขั้นตอนรังสรรค์ผลิตถ้อยคำสั้นๆ แต่หมายถึงคนเจ็บและคนตาย มีชิ้นส่วนความขัดแย้งตรงเส้นพรมแดนแฝงฝังอยู่ในมโนสำนึกบ้างไม่มากก็น้อย

โชคช่วยสำหรับวงการศิลปะ ที่คำวิจารณ์วิจารณ์สนั่นโลกออนไลน์ทำให้กลุ่มคนทำงานดริฟท์หัวเรือแก้ไขเนื้อหาและพาดหัว ตัดคำว่า ‘พร้อมรบ’ ออกไป

แต่ก็ถือว่าน่าเสียดาย ที่ความคิดแบบศิลปินพ่ายกระแสคำก่นด่า เพราะดูแคลนความขัดแย้ง จนคิดว่า ‘พร้อมรบ’ เป็นคำที่คิดมาอย่างดี แต่ถ้าถามคนแถบชายแดนอาจส่ายหัว และบอกว่าพวกเขาไม่ได้พร้อมรบ และอาจสงสัยต่อว่า mindset หรือชุดความคิดที่ชูคำว่า ‘พร้อมรบ’ ออกมาจากชุมชนคนสร้างสรรค์ได้อย่างไร

เมล็ดพันธุ์ที่ทำให้ ‘พร้อมรบ’ กลายเป็นเรื่องสร้างสรรค์ลอยปลิวมาจากไหน? เบื้องหลังเสียงปืน ควันระเบิด และสีธงชาติที่ปลิวไสวทั่วเมือง สายตาแบบไหนถึงมองเห็นความเจริญงอกงามของการรบ

เพื่อกันลืม ลองไล่ไทม์ไลน์สั้นๆ กันว่าสิ่งนี้เริ่มต้นจากอะไร

สาเหตุที่แท้จริงของเรื่องนี้ไม่ได้เริ่มจากคลิปเสียงบทสนทนาระหว่างนายกฯ ไทยกับผู้มากบารมีของกัมพูชา แต่เกิดจากเส้นเขตแดนที่ไม่ตรงกันของไทยและกัมพูชา เพราะใช้แผนที่คนละชุด คนละมาตราส่วน และไทยต้องการหารือแบบทวิภาคีกับกัมพูชา ขณะที่ฝั่งเพื่อนบ้านต้องการนำ 4 พื้นที่ในเขตทับซ้อนให้ศาลโลกพิจารณา

ว่าเฉพาะฝ่ายไทย เรื่องนี้เข้าทางของกลุ่มขวาชาตินิยมที่ปั่นวาทกรรม ‘เสียดินแดน’ มาตั้งแต่กรณีเกาะกูดและ MOU 44 บนเวทีชุมนุมทางการเมืองจึงมีทั้งการขับไล่ตระกูลชินวัตร โดยเฉพาะแพทองธาร นำไปสู่ข้อกล่าวหาคลาสสิกจากแกนนำผู้ชุมนุมกลุ่มเดิมตั้งแต่สองทศวรรษก่อนว่า ‘ขายชาติ’ และถ้อยคำบนเวทีรุนแรงถึงขั้นสนับสนุนให้ไทยบุกพนมเปญ

ไม่จบแค่นั้น บางส่วนในคำพูดของนายกฯ อิ๊งค์ ทั้งการผลักให้ทหารเป็นฝ่ายตรงข้าม และท่าทีโอนอ่อนต่อ ‘อังเคิล’ ทำให้ต้องถูกพักงาน เสี่ยงต่อการถูกวินิจฉัยให้พ้นจากตำแหน่ง ความขัดเรื่องพรมแดนถูกยกระดับไปสู่จุดเปลี่ยนทางการเมืองครั้งสำคัญ

กล่าวกันว่า รัฐบาลที่นำโดยเพื่อสะดุดขาตัวเองหัวทิ่ม ซึ่งก็อาจจะใช่ เพราะหลังจากนั้นบทบาทของรัฐบาลก็ลดน้อยถอยลง กองทัพภาคที่ 2 (ที่ถูกผลักเป็นฝ่ายตรงข้าม) จึงเชิญชวนติดแฮชแทก #ไทยนี้รักสงบแต่ถึงรบไม่ขลาด หลังจากนั้นความนิยมในทหารก็เพิ่มขึ้น สวนทางกับความเชื่อมั่นในรัฐบาลที่ดิ่งเหว

โดยความเข้าใจพื้นฐาน ในรัฐบาลพลเรือน เมื่อเป็นความขัดแย้งระหว่างประเทศ คนที่จะต้องก้าวออกมายืนรับผิดชอบหน้าที่ควรจะเป็นนายกฯ รัฐมนตรีต่างประเทศ รัฐมนตรีกลาโหม แต่เหมือนที่ว่าในย่อหน้าก่อนๆ ว่า ฝ่ายบริหารกลายเป็นต้องแสดงท่าทีเกรงใจกองทัพ แต่ละก้าวย่างจึงช้ากว่ามาก จนคนตั้งคำถามว่า ถ้าปัญหาระหว่างประเทศถูกโยนให้ทหารจัดการ แล้วเรามีรัฐบาลไว้ทำไม

คนไทยมากมายจำชื่อแม่ทัพภาคที่ 2 พลโทบุญสิน พาดกลาง ได้มากกว่ารัฐมนตรีกลาโหมและรัฐมนตรีต่างประเทศ บางคนงงกว่านั้นว่า อ้าว…ทำไม ภูมิธรรม เวชยชัย มาทำงานแทนนายกฯ

ภาพที่คนไทยหวังจะเห็นในสถานการณ์วิกฤติแบบนี้ คือการแถลงข่าวร่วมกันระหว่างบุคคลระดับรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องร่วมกับผู้นำฝ่ายทหาร ไม่เกิดขึ้นจริง การทำงานไม่เป็นเอกภาพ กระจัดกระจาย กองทัพกำลังอยู่ในกระแสได้รับความนิยมสูง พลโทบุญสินกำลังเป็นวีรบุรุษกู้ชาติระดับเซเลบริตีที่เดินสายพูดตามสถานที่ต่างๆ

เมื่องทหาร นำโดยกองทัพภาคที่ 2 มีบทบาทมากในความขัดแย้งไทย-กัมพูชา เพราะเป็นผู้รับผิดชอบบริเวณแนวปะทะ เป็นผู้เริ่มต้น #ไทยนี้รักสงบแต่ถึงรบไม่ขลาด กระแสนี้จึงแพร่หลายเป็นไฟลามทุ่ง คนไทยจำนวนมากปลุกหัวใจรักชาติถ้วนหน้า ทั้งคนธรรมดา ชาวบ้านร้านตลาด หน่วยงานราชการ ไม่เว้นแม้แต่สื่อมวลชน ต่างหลั่งไหลไปกับแนวคิดชาตินิยมที่โหมกระพือ

ที่น่าผิดหวังคือ ขณะที่มีการสู้รบ แทบไม่มีใครชูธงสัญลักษณ์สันติภาพ เพราะโดนถ้อยคำปกป้องอธิปไตยฝังกลบจนมิดด้าม

ไม่ใช่แค่นั้น แนวคิดชาตินิยมนี้ไม่ใช่ชาตินิยมแบบเก่าที่คนเคยให้นิยามว่าเป็น ‘ราชาชาตินิยม’ ที่หยั่งรากมาเป็นร้อยปี แต่เป็นชาตินิยมที่ผูกติดกับการทหาร การรบ การสร้างวีรบุรุษ และสร้างผู้ร้าย (ซึ่งมักเป็นเพื่อนบ้าน)

หากมีใครจะเอ่ยถึงวัฒนธรรมร่วม การหยิบยืมวัฒนธรรม อารยธรรม ระหว่างไทยและกัมพูชา - ลืมไปได้เลย

ผู้ที่มีส่วนสำคัญในการเผยแพร่แนวคิดชาตินิยมให้ลุกลามเป็นความเกลียดชัง คือเหล่าอินฟลูเอนเซอร์ โดยเฉพาะในโลกออนไลน์ ที่บางรายสนับสนุนให้ ‘ล่า’ ชาวกัมพูชาในไทย โหดร้ายกว่านั้นคึอความเห็นจำนวนมากเจืออคติและความอำมหิตผิดมนุษย์อย่างน่าตกใจ

คนกลุ่มเดียวกันยังมีบทบาท มีเสียงที่ดังมากกว่าใคร แต่กลับไม่มีความสามารถในการสื่อสารเรื่องความขัดแย้ง เรื่องการต่างประเทศ ความมั่นคง สุดท้ายเรื่องคนเจ็บคนตาย ความเกลียดชัง การด่าทอ ก็กลายเป็นยอดวิวสร้างรายได้เข้ากระเป๋า

ขณะที่เหล่าอินฟลูเอนเซอร์ทำหน้าที่สื่อสาร เป็นกระบอกเสียงคนดีๆ แบบทำเอามัน เอายอด และเอาเงิน รัฐก็พยายามสร้างหน่วยงานสื่อสารขึ้นมา แต่ก็เหมือนจะไม่เป็นผล เพราะโฆษกจิตอาสาของศูนย์เฉพาะกิจบริหารสถานการณ์บริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา (ศบ.ทก.) ก็ยังสับสนเองว่า ศบ.ทก. จะถูกยุบหรือไม่

เมื่อการสื่อสารที่ควรจะรวมศูนย์เข้าขั้นพิกลพิการ ท่ามกลางสมรภูมิข่าวปลอมของทั้งไทยและกัมพูชา หน่วยงานต่างๆ จึงต้องมาไล่เก็บกวาดรับผิดชอบตรวจสอบ ไม่ต่างจากการล้อมคอกหลังวัวหาย คำกล่าวที่ว่า ความจริงคือเหยื่อรายสำคัญที่ถูกสังหารกลางสมรภูมิ ถูกพิสูจน์แล้วว่าเป็นจริง

อย่างไรก็ตาม ควารักและความเกลียดที่เกิดขึ้นพร้อมกันอย่างล้นเกินปกติ - รักชาติไทย เกลียด ‘พวกเขมร’ - จึงพัฒนาไปสู่การสนับสนุนให้ตอบโต้ด้วยกำลังเต็มที่ ให้ทำสงคราม อย่างไม่สนใจใยดีว่าบริเวณพรมแดนมีคนเจ็บคนตาย

เราอาจลืมไปว่า…ความขัดแย้งที่ไม่ใช่ระดับประกาศสงคราม ท้ายสุดแล้วก็มีแนวโน้มจะจบลงบนโต๊ะเจรจา เรามีกรณีศึกษาสมรภูมิบ้านร่มเกล้า เมื่อครั้งรบกับลาวเพราะเส้นพรมแดนไม่ตรงกันที่เนิน 1428 การรบพุ่งนับเดือนสุดท้ายจบลงที่การเจรจา ความตายของเหล่าทหารถูกยกย่องเป็นวีรบุรุษ ทั้งๆ ที่ทุกวันนี้ปัญหาชายแดนตรงนั้นก็ยังอยู่เหมือนเดิมโดยที่ไม่มีใครเดือดร้อน

ดังนั้น ความสูญเสียที่เกิดขึ้นระหว่างทางการรบของทั้งสองฝ่ายจึงน่าจะหลีกเลี่ยงได้ โดยเฉพาะไทยและกัมพูชา ที่มีหน่วยงานพูดคุยอยู่แล้ว รัฐบาลควรทำงานอย่างหนักเพื่อให้การใช้กำลังยุติโดยเร็วที่สุด เพราะความตายทั้งของทหาร ประชาชน ทั้งไทยและกัมพูชา อาจกลายเป็นความสูญเปล่า โดยเฉพาะทหาร ที่นัยหนึ่งของการถูกยกย่องเป็นวีรบุรุษ คือเหยื่อของการสู้รบที่หลีกเลี่ยงได้

คงมีคนไทยไม่น้อย อินกับความขัดแย้ง ณ อีกซีกโลกหนึ่ง สงครามรัสเซียบุกยูเครน ความโหดร้ายของอิสราเอลที่ปิดล้อมกาซ่าจนแทบกลายเป็นการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ ซึ่งมีความเป็นไปได้ว่า ในตัวคนคนเดียวกัน รู้สึก ‘เฉยๆ’ กับความตายที่อ้างอิงตัวเลขกันถึงหลักพันของทหารกัมพูชา และถ้าจะศึกษาการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ ไม่ต้องจินตนาการถึงเอาท์ชวิทช์ เพราะที่กัมพูชาก็เคยมีเหตุการณ์แบบนั้นในยุคเขมรแดง

ความพิสวาทการรบ ความชื่นชมทหาร แนวคิดชาตินิยม และการแสดงออกเห็นดีเห็นงามกับ ‘พร้อมรบ’ ไม่ต่างกับการมองข้ามต้นทุนที่แท้จริงของสงคราม ซึ่งคือชีวิตและความสูญเสีย การยอมรับหรือเฉยเมยต่อความตายของผู้อื่น แม้ว่าจะเป็นศัตรู ไม่ใช่เรื่องสร้างสรรค์ เพราะมันอาจหมายถึงการทำลาย ‘ความเป็นมนุษย์’ ในใจของคุณก็ได้

บทความต้นฉบับได้ที่ : เรื่องที่ถูกลืมตรงเส้นพรมแดนไทย-กัมพูชา

บทความที่เกี่ยวข้อง

ตามบทความก่อนใครได้ที่
- Website : plus.thairath.co.th
- LINE Official : Thairath

ดูข่าวต้นฉบับ
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...

ล่าสุดจาก Thairath Plus - ไทยรัฐพลัส

ทำไมคนบนโลกออนไลน์ถึงโหดร้ายกว่าโลกจริง

4 ชั่วโมงที่ผ่านมา

ความยากลำบากอาจเป็นส่วนหนึ่งของหนทางสู่เส้นชัย เรียนรู้วิธีการ ‘สู้’ ผ่าน 5 ตัวละครนักสู้

1 วันที่แล้ว

วิดีโอแนะนำ

ข่าวและบทความการเมืองอื่น ๆ

ข่าวและบทความยอดนิยม

71 ปี บังคับสูญหาย ‘หะยีสุหลง’ ผู้นำคนสำคัญของปาตานี

Thairath Plus - ไทยรัฐพลัส

The Decorum: ร้านสูทที่มอง ‘ความคลาสสิก’ เป็นเสาหลัก แต่ไม่ใช่ทุกอย่างของพวกเขา

Thairath Plus - ไทยรัฐพลัส

ทั่วโลกเกิดอะไรขึ้นบ้างสัปดาห์นี้ 11-16 สิงหาคม 2568

Thairath Plus - ไทยรัฐพลัส
ดูเพิ่ม