โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

ไลฟ์สไตล์

ทำไมคนบนโลกออนไลน์ถึงโหดร้ายกว่าโลกจริง

Thairath Plus - ไทยรัฐพลัส

อัพเดต 2 ชั่วโมงที่ผ่านมา • เผยแพร่ 2 ชั่วโมงที่ผ่านมา
ภาพไฮไลต์

ในฐานะคนเขียนคอลัมน์เผยแพร่ทางออนไลน์เป็นประจำ ผมสังเกตถึงพฤติกรรมโหดร้ายเกินเบอร์ในสื่อสังคมออนไลน์มาพักใหญ่ๆ ยิ่งในช่วงที่ความรู้สึกชาตินิยมพุ่งทะลุปรอทอย่างกรณีการปะทะที่ชายแดนไทย-กัมพูชา จนมีประชาชนและทหารชาวไทยเสียชีวิตจำนวนมาก ความชิงชังและความโกรธก็ดูจะยิ่งโหมกระพือในสื่อสังคมออนไลน์

แต่เคยสังเกตไหมครับ ในชีวิตประจำวันเราแทบไม่ได้พบเจอกับความโกรธหรือชิงชังในระดับนั้นที่ไหนเลย ราวกับว่าอินเทอร์เน็ตกำลังเผยให้เห็น ‘ด้านที่เลวร้าย’ ของมนุษยชาติออกมาตีแผ่ในพื้นที่ดิจิทัลสาธารณะ

ในบทความนี้ ผมจึงค้นหาคำตอบด้วยความฉงนสงสัย ว่าเพราะเหตุใดคนบนโลกออนไลน์จึง ‘โหดร้าย’ กว่าโลกจริง

เมื่อโลกออนไลน์ทำให้เราขาดความยับยั้งชั่งใจ

นักจิตวิทยาศึกษาเรื่องพฤติกรรมการใช้อินเทอร์เน็ตที่แตกต่างจากโลกออฟไลน์มาอย่างยาวนาน หนึ่งในคำอธิบายความแตกต่างระหว่างโลกออนไลน์กับโลกออฟไลน์คือปรากฏการณ์ที่เรียกว่า ภาวะขาดความยับยั้งชั่งใจออนไลน์ (Online Disinhibition Effect) ซึ่งหมายความว่าอินเทอร์เน็ต ‘ขจัด’ กลไกกำกับพฤติกรรมที่เราใช้ในชีวิตประจำวันออกไป เนื่องจากโลกออนไลน์มักจะทำให้เรารู้สึกล่องหน ไร้ตัวตน และไม่ต้องรับผิดต่อการกระทำ

จอห์น ซูเลอร์ (John Suler) นักจิตวิทยาเขียนบทความวิชาการ อธิบายว่าปรากฏการณ์ดังกล่าวเกิดจาก 6 ปัจจัยหลัก ประกอบด้วย

1. ภาวะนิรนามที่แยกขาดจากโลกจริง (dissociative anonymity) โดยผู้ใช้งานอินเทอร์เน็ตอาจคิดว่าการกระทำของพวกเราบนโลกออนไลน์ไม่มีทางที่จะสืบสาวกลับมาที่ตัวของเราได้

2. ภาวะล่องหน (invisibility) พบได้ทั่วไปจากการสื่อสารผ่านข้อความโดยที่ไม่จำเป็นต้องคำนึงถึงสีหน้าหรือน้ำเสียงระหว่างการสื่อสาร

3. การส่งและรับสารที่ไม่เกิดขึ้นพร้อมกัน (asynchronicity) ดังนั้นต่อให้เราใช้ข้อความแรงๆ ส่งผ่านกันทางโลกออนไลน์ เราก็ไม่ได้เห็นปฏิกิริยาตอบสนองหรือตอบกลับในทันที ซึ่งแตกต่างจากการสื่อสารในโลกออฟไลน์

4. การมีปฏิสัมพันธ์โดยจินตนาการว่ากำลังสื่อสารกับตัวเอง (solipsistic introjection) เวลารับสารหรือสื่อสารบนโลกออนไลน์ เราต้องสร้าง ‘เสียงในหัว’ แทนข้อความ เราคุยกับเสียงในหัวเช่นนี้อยู่ตลอดเวลาและหลายครั้งก็เป็นเรื่องในจินตนาการที่ไม่ได้นำไปสู่การกระทำจริงๆ การสื่อสารเช่นนี้จึงขาดกรอบเกณฑ์ที่คอยกำกับดูแลพฤติกรรม

5. จิตนาการที่แยกขาดจากความเป็นจริง (dissociative imagination) ปฏิสัมพันธ์บนโลกออนไลน์มักกระทำผ่านสื่อกลางอย่างแพลตฟอร์มสื่อสังคมออนไลน์หรือเว็บบอร์ด การสร้างตัวตนใหม่ในพื้นที่ดิจิทัลนั้นมักจะทำให้เราคิดเอาเองว่านั่นคือตัวตนที่แยกขาดจากตัวตนจริง คล้ายกับการเล่นอยู่ในเกมที่ไม่ต้องรับผิดรับชอบ

6. การลดทอนสถานะและอำนาจ (minimization of status and authority) หากเราพบปะกับบุคคลอื่นในโลกจริง เราย่อมรู้ถึงสถานะของคู่สนทนาผ่านการแต่งหน้า แต่งตัว หรืออายุ แต่บนโลกออนไลน์ทั้งสถานะและลักษณะที่บ่งชี้ถึงอำนาจเหล่านั้นถูกลดทอนลงโดยทุกคนเป็นเพียง ‘ผู้ใช้งาน’ ที่มีสถานะใกล้เคียงกัน

จากปัจจัยทั้งหมดนี้ ‘ภาวะนิรนาม’ บนโลกอินเทอร์เน็ตดูจะเป็นปัจจัยที่โดดเด่นที่สุด ยิ่งในหลายแพลตฟอร์มที่เราไม่ต้องมีชื่อ นามสกุล ตัวตน หรือใบหน้าจริงๆ ภาวะนิรนามยิ่งกลายเป็นเกราะคุ้มกันให้กล้าหาญชาญชัยในโลกออนไลน์ โดยคิดว่าอันตรายไม่มีทางสืบสาวมาถึงตัว ในขณะที่การมีปฏิสัมพันธ์ในโลกจริงนั้น หากพูดหรือทำตัวหยาบคายก็อาจถูกต่อว่า ตำหนิ หรือกระทั่งทำร้ายร่างกายได้

นี่คือสาเหตุที่สื่อสังคมออนไลน์บางแห่ง เช่น เฟซบุ๊ก มีนโยบายให้ผู้ใช้งานเปิดบัญชีโดยใช้ชื่อและนามสกุลจริง เพราะนอกจากจะช่วยป้องปรามปัญหาการสร้างตัวตนปลอมเพื่อหลอกลวงบนโลกออนไลน์แล้ว ยังบรรเทาภาวะนิรนามเพื่อเพิ่มความยับยั้งชั่งใจก่อนที่จะโพสต์อีกด้วย

อย่างไรก็ตาม ท่ามกลางความขัดแย้งรุนแรง ดูเหมือนว่าโลกออนไลน์ก็ยังคงไม่ต่างจาก ‘แดนเถื่อน’ ที่คนพร้อมแสดงด้านมืดของตนเองออกมา แม้ว่าบัญชีนั้นจะเป็นชื่อ ภาพ และตัวตนออนไลน์ของเราจริงๆ ก็ตาม ปัญหาจึงไม่ได้เกิดเพียงในระดับบุคคล แต่อาจเกิดจากบรรทัดฐานของโลกออนไลน์และแรงจูงใจจากแพลตฟอร์มที่เอื้อให้ ‘เนื้อหาสุดโต่ง’ ที่กระตุ้นอารมณ์รุนแรงกลายเป็นไวรัล

อัลกอริทึมของแพลตฟอร์มทำให้ความโกรธ ‘ขายได้’

สงครามข่าวสารในยุค AI นับว่าน่าหวาดหวั่น ยิ่งเมื่อข่าวปลอมเร้าอารมณ์ถูกโหมกระพือด้วยอัลกอริทึม เป้าหมายสำคัญของสื่อสังคมออนไลน์คือการดึงดูดให้เราอยู่กับมันได้นานที่สุด โดยความโกรธและเกลียดชังคือหนึ่งในการกระตุ้นชั้นเยี่ยมถึงขนาดมีการศึกษาพบว่าสื่อสังคมออนไลน์ทำให้เราฉุนเฉียวยิ่งกว่าเดิม จึงไม่น่าแปลกใจนักที่โพสต์ไวรัลส่วนใหญ่จะเต็มไปด้วยความเกลียดชัง ขณะที่การแสดงความเห็นอกเห็นใจ หรือการถกเถียงอย่างมีอารยะกลับไม่ได้รับความสนใจเท่าที่ควร

คงไม่ผิดนักหากจะกล่าวว่าความโกรธและเกลียดชังกลายเป็นเนื้อหาที่ ‘ขายได้’ บนแพลตฟอร์มสื่อสังคมออนไลน์ ยิ่งเนื้อหาเร้าอารมณ์ คนยิ่งพร้อมกดไลก์ กดแชร์ หรือเข้ามารับชมจำนวนมาก เมื่อคนกลุ่มนี้ได้ ‘แสงสปอตไลท์’ แน่นอนว่าย่อมเกิดพฤติกรรมเลียนแบบ โดยคนจำนวนไม่น้อยต้องการเป็น ‘ดาวเด่น’ บนโลกออนไลน์ อาจด้วยเหตุผลเรื่องค่าตอบแทนหรืออาจเป็นเพียงความรู้สึกเสมือนฮีโร่ที่เติมเต็มบางอย่างในชีวิต

เมื่อเนื้อหาที่แสดงความโกรธและเกลียดชังคือสิ่งที่ชาวเน็ตส่วนใหญ่รับรู้และยอมรับ สุดท้ายเราก็เข้าใจเอาเองว่านี่คือ ‘บรรทัดฐาน’ ของพฤติกรรมพึงประสงค์บนโลกออนไลน์ที่แพลตฟอร์มและคนจำนวนมากพร้อมจะตบรางวัลให้ คนส่วนใหญ่จึงยอมโอนอ่อนผ่อนตาม พร้อมแสดงท่าทีเกลียดชังรุนแรง ส่วนใครที่ไม่เห็นด้วยหรือออกมาทัดทานก็จะถูกมองเป็นคนนอก และเสี่ยงที่จะถูก ‘ทัวร์ลง’ นั่นเอง

หากสวมหมวกนักเศรษฐศาสตร์ แพลตฟอร์มออนไลน์ดูจะจูงใจให้คนแสดงพฤติกรรมรุนแรง แม้ว่าพฤติกรรมเช่นนั้นจะมีต้นทุนทางสังคมราคาแพงหากแสดงออกในโลกจริง แต่ในโลกออนไลน์เรามีความนิรนามเป็นเกราะคุ้มกัน เมื่อผนวกกับภาวะขาดความยับยั้งชั่งใจออนไลน์ตามแนวคิดของซูเลอร์ การแสดงความโหดร้ายบนโลกออนไลน์ยิ่งเป็นการกระทำที่มีแต่ได้ โดยที่แทบไม่ต้องเสี่ยงสูญเสียต้นทุนใดๆ

แน่นอนครับว่าแพลตฟอร์มสื่อสังคมออนไลน์ทุกแห่งย่อมมีนโยบายกำกับดูแลเนื้อหาที่ไม่เหมาะสม รวมถึงกลไกกลั่นกรองเนื้อหาหรือลบโพสต์ที่ขัดต่อนโยบายดังกล่าว แต่การศึกษาหลายต่อหลายชิ้นต่างบ่งชี้ว่ากระบวนการกลั่นกรองดังมักจะล่าช้าและมีคนทำงานไม่เพียงพอ ผลลัพธ์ที่ได้คือการแก้ปัญหาที่ช้าเกินการณ์ กว่าที่แพลตฟอร์มจะลบโพสต์ ความเกลียดชังก็ลุกลามบานปลายไปจนเลยเถิด สื่อสังคมออนไลน์จึงไม่ต่างจากบ้านป่าแดนเถื่อนที่แทบไม่มีการกำกับดูแล

ผมอยากปิดท้ายบทความด้วยทางแก้ปัญหา แต่ต้องยอมรับว่าเรื่องนี้ผมเองก็จนปัญญา ทำได้ดีที่สุดคือการยับยั้งชั่งใจตัวเองก่อนพิมพ์อะไรไปบนโลกออนไลน์ เช่นเดียวกับการคอยเตือนเพื่อนและคนใกล้ชิดไม่ให้ความเกลียดชังครอบงำจนลืมความเป็นมนุษย์

ส่วนใครที่รู้สึกว่าโลกออนไลน์ช่วงนี้ ‘เป็นพิษ’ จนเกินรับไหว ผมขอแนะนำให้หยุดใช้สื่อสังคมออนไลน์ไปสักเดือน หรือลดเวลาการใช้งานลงสักหน่อย เชื่อเถอะครับว่าคุณไม่ได้พลาดอะไรที่น่าสนใจหรอกครับ (หรือต่อให้พลาดไป มันก็คงไม่ใช่เรื่องสลักสำคัญอะไร)

อ่านเพิ่มเติม:

The online disinhibition effect

How Can Online Anonymity Impact Empathetic Responses?

Online disinhibition and the psychology of trolling

Online Disinhibition Effect: เมื่อโลกออนไลน์ทำให้คนเกรี้ยวกราด ไม่ยั้งคิด

ทำไมคนปกติกลายเป็นปีศาจบนโลกออนไลน์?

บทความต้นฉบับได้ที่ : ทำไมคนบนโลกออนไลน์ถึงโหดร้ายกว่าโลกจริง

บทความที่เกี่ยวข้อง

ตามบทความก่อนใครได้ที่
- Website : plus.thairath.co.th
- LINE Official : Thairath

ดูข่าวต้นฉบับ
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...

ล่าสุดจาก Thairath Plus - ไทยรัฐพลัส

เรื่องที่ถูกลืมตรงเส้นพรมแดนไทย-กัมพูชา

1 วันที่แล้ว

ความยากลำบากอาจเป็นส่วนหนึ่งของหนทางสู่เส้นชัย เรียนรู้วิธีการ ‘สู้’ ผ่าน 5 ตัวละครนักสู้

1 วันที่แล้ว

วิดีโอแนะนำ

ข่าวและบทความไลฟ์สไตล์อื่น ๆ

ข่าวและบทความยอดนิยม

The Decorum: ร้านสูทที่มอง ‘ความคลาสสิก’ เป็นเสาหลัก แต่ไม่ใช่ทุกอย่างของพวกเขา

Thairath Plus - ไทยรัฐพลัส

90 Years of Penguin Books สำนักพิมพ์ที่กระจายวรรณกรรมสู่วงกว้าง เพราะเชื่อว่าหนังสือที่ดีไม่ควรแพงกว่าบุหรี่หนึ่งซอง

Thairath Plus - ไทยรัฐพลัส

ทั่วโลกเกิดอะไรขึ้นบ้างสัปดาห์นี้ 4-9 สิงหาคม 2568

Thairath Plus - ไทยรัฐพลัส
ดูเพิ่ม
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...