“Creative Spark” อีเวนต์ครีเอทิฟรุ่นเก๋า ถ่ายทอดสู่ครีเอทิฟรุ่นเจิดจรัส ณ ม.กรุงเทพ
ขณะนี้ เรากำลังยืนอยู่ใต้สถาปัตยกรรมทรงเพชร ล้อมรอบด้วยกระจกบานใส หน้าต่างถูกเลี่ยมอย่างเอี่ยมอ่อง เช่นเดียวกับใบหน้าของเด็กๆ นักศึกษาที่เดินพลุกพล่านอยู่บนวัยอันสดใส ล่องตามเข็มทิศอนาคตตัวเอง ใน “มหาวิทยาลัยกรุงเทพ” สถานศึกษาที่ขึ้นชื่อเรื่องการปลุกปั้นดาว และมีดาวหลายร้อยดวงที่ค้างเติ่งอยู่บนฟ้า ก้าวเท้าออกจากที่นี่ด้วยชื่อเสียงในแวดวงดารา และเชื่อได้เลยว่าชื่อของพวกเขาเคยผ่านหูคุณมาแล้ว
เช่น “บอย-ถกลเกียรติ วีรวรรณ” ที่ขึ้นแท่นเป็นถึงผู้บริหารช่อง One31 ทั้งยังเป็นผู้กำกับละครเวทีมือทอง “แอน-แอน ทองประสม” นางเอกระดับตำนานของเมืองไทย เธอสวมมาแล้วทุกบทบาท ก่อนจะค่อยๆ วางมือจากนักแสดงลอกคราบเป็นผู้จัดละครแนวหน้า และวันนี้ศิษย์เก่าทั้งสองกลับมายืนในสถานที่ที่พวกเขาคุ้นเคย ไม่ใช่การกลับมาในฐานะผู้บริหารหรือนักแสดง หากแต่เป็นคำบอกเล่าของรุ่นพี่ถึงรุ่นน้องที่หวังให้ดาวทุกดวงค้นพบวิธีเปล่งแสงของตัวเอง
กับงาน “Creative Spark 2025 Leading Local Content Future with Global Vision” รวมผู้อยู่แนวหน้าในอุตสาหกรรมสื่อ และคอนเทนต์ที่ใช้คำว่าประสบความสำเร็จได้อย่างเต็มปาก เพราะผลงานของพวกเขาออกสู่สายตาผู้ชมทั่วโลกมาแล้ว นอกจากสองรายชื่อที่เราเอ่ยถึง ยังมีอีกหนึ่งรายชื่อที่แจ้งเกิดซีรีส์วายของประเทศไทยจนดังกระฉ่อน ด้วยสถานะผู้บริหารบริษัท GMMTV อย่าง “ถา-สถาพร พานิชรักษาพงศ์” เข้ามาสมทบ
หากคุณเองมีความฝันอยากเป็นดาว และกำลังหาวิธีเปล่งแสงอยู่ ค่อยๆ ไล่สายตาไปทีละบรรทัดแล้วจะรู้สึกราวว่าเสียงของผู้ช่ำชองเหล่านี้พูดอยู่ข้างหู
จังหวะปรบมือดังทั่วห้องโถง เมื่อ“แบม-ปีติภัทร คูตระกูล” พิธีกรมากความสามารถที่เป็นได้ทั้งดีเจ รวมถึงผู้ประกาศข่าวเดินขึ้นเวที ใครต่างก็คุ้นหน้าเขาจากหลายสิบรายการบนจอโทรทัศน์ แบมกล่าวต้อนรับด้วยความทึ่งว่านักศึกษาในห้องนี้ล้นทะลักกว่า 800 คน! จนต้องหาเก้าอี้มาวางเพิ่มกันเลยทีเดียว ทั้งชื่นชมที่อีเวนต์อลังการนี้ถูกสร้างขึ้นจากน้ำมือของอาจารย์และบรรดานิสิต
ต่อด้วยรอยเท้า “อาจารย์ภูรัตน์ โอสถานุเคราะห์” อธิการบดีแห่งมหาวิทยาลัยกรุงเทพ ผู้จุดประกายไอเดียของอีเวนต์ ว่าด้วยความตั้งใจที่จัดงานนี้ขึ้น และขอให้เชื่อเลยว่าเขาเฟ้นหาสิ่งที่ดีที่สุดให้แก่นิสิตเสมอ
และนับจากวินาทีนี้ไป นิสิตแค่ต้องใช้ตาดูหูฟังเท่านั้น
“บอย-ถกลเกียรติ วีรวรรณ” ประเดิมหัวข้อ “The Power of Creative Storytelling: Changing the Game, Creating the Future of Content” เพราะละครได้เปลี่ยนชีวิตเขา ความน่าสนใจ คือการพูดถึงวงจรละครโทรทัศน์ที่เขาคอยจับทางของผู้ชม บอกความขบขันให้ฟังว่าเพราะอะไร เราถึงได้เห็นนักแสดงมีสีหน้าท่าทางที่ชัดเจนเสียเหลือเกิน เมื่อโกรธก็ถลึงตาจนแทบถลน เมื่อเสียใจก็ทุรนทุราย เนื่องเพราะบอยขบคิดมาแล้วว่าผู้ชมคงมีทุกประเภท ไล่ไปตั้งแต่เด็กประถมกระทั่งแม่ค้าผัดอาหาร บ้างก็เปิดละครไว้เป็นเพื่อนคลายเหงา ทว่าผู้ชมจำเป็นต้องรู้ทันทีทุกครั้งที่หันมองจอว่าเกิดอะไรขึ้นอยู่ เพื่อให้ทันบทอย่างไม่ต้องย้อนกลับไปดูซ้ำ
บอยเดินทางมาตั้งแต่ยุคแอนะล็อกจวบจนยุคดิจิทัล ทำให้เขาจับโดนจุดผู้ชมแต่ละสมัยได้ไม่ยาก ผลงานโดดเด่นไม่นานมานี้ เช่น ทิชา แม่หยัว สงครามสมรส ที่ทำเอาผู้ชมละสายตาไปไม่ได้เลย เขาทิ้งทวนว่าเพราะอาชีพของเขาคือนักเล่าเรื่อง ทั้งยังต้องเป็นการเล่าเรื่องที่มีพลังเสมอ และจะเล่าอย่างไรก็ได้ ขอเพียงมีส่วนช่วยให้โลกนี้น่าอยู่ขึ้น เรียกได้ว่าชายคนนี้ถือกุญแจสำคัญ ที่จะไขเข้าไปในหัวใจผู้ชมครบทุกดอกแล้วล่ะ
ก่อนที่เรื่องเล่าจะจบลงย่อมต้องถูกส่งออก “ถา-สถาพร พานิชรักษาพงศ์” เป็นคนหนึ่งที่ผลักความไทยๆ ออกสู่ระดับสากล และออกไปอย่างกระหึ่มเสียด้วย เขามากับหัวข้อ “Creating Culture: From Local Fandom to Global Community” จากการขับเคลื่อนความเท่าเทียมทางเพศบุกเบิกซีรีส์บอยเลิฟ เกิร์ลเลิฟในช่อง GMMTV อย่าง “2gether The Series เพราะเราคู่กัน” จุดเริ่มต้นการระบาดในประเทศและนอกประเทศ ทั้งสร้างปรากฏการณ์ให้คนต่างชาติเห็นวัฒนธรรมไทย ฐานแฟนคลับต่างก็กรูกันตามรอยร้านอาหารโปรดของตัวละคร ชาเย็น นมชมพู กะเพราหมูสับ! แม้แต่โลเคชันอื่นในมหาวิทยาลัยก็ถูกล่าเพื่อเซลฟีเรียกกระแสบนโซเชียล
ที่น่าตื่นเต้นไปกว่านั้นคือพวกเขาฝึกพูดภาษาไทย กลายเป็นซอฟต์พาวเวอร์ที่ไม่ซอฟต์สักเท่าไหร่ เพราะกระเพื่อมผู้คนได้ แม้ในยุคที่ผู้ผลิตซีรีส์แข่งขันกันสูง ถาได้บอกความลับหนึ่งว่าการประสบความสำเร็จของเขาใช่แค่ทำให้คนอินกับซีรีส์ หากต้องหลงรักตัวละครนั้นๆ เช่นกัน
และถึงซีรีส์จะจบลงไปแล้ว ถายังไม่หยุดต่อยอดนักแสดงภายนอกบทบาท เขาสร้างความยั่งยืน ผลักให้นักแสดงในสังกัดพุ่งทะยานขึ้น ด้วยการดึงศักยภาพที่พวกเขามีออกมา ทำให้แฟนคลับได้เห็นพรสวรรค์อื่น บ้างร้อง เต้น ไปจนถึงเล่นดนตรี ท้ายที่สุดเพื่อตอบแทนแฟนคลับที่คอยช่วยเติมไฟให้เครือ GMMTV ถาได้จัดมหกรรมแฟนมีตในแดนซากุระภายใต้ “GMM Fan Fest Live in Japan 2025” แน่นอนว่าเสียงตอบรับจากชนชาวญี่ปุ่น-ไทย และประเทศอื่นดีอย่างที่คาดไว้ และดีมากกว่าที่คาดไว้เสียอีก
ผลงานโทรทัศน์นับไม่ถ้วนที่ถูกปล่อยจากเครือ GMMTV ยังถูกพูดถึงอยู่เนืองๆ ดูไม่มีทีท่าจะซาลง จนกระจ่างว่าผู้นำอย่างถากำลังพารายการโทรทัศน์ของประเทศไทยพุ่งทะยานขึ้นเรื่อยๆ ไปพร้อมกับวิสัยทัศน์ที่แสนจะแม่นยำของเขา
มาจนถึงขาสุดท้าย แต่ยังไม่ท้ายที่สุดอย่าง “แอน-แอน ทองประสม” เธอก้าวขึ้นเวทีเพื่อบอกเล่าอีกบทบาทหนึ่งในชีวิตคือผู้จัดละคร ถึงกับทุ่มทุนเปิดค่าย “ทอง เอนเทอร์เทนเมนต์” เลยทีเดียว แต่จุดเปลี่ยนครั้งนี้ไม่ได้หมายถึงการวางมือลงจากบทนักแสดง เพียงแต่เป็นการส่งไม้ต่อให้แก่รุ่นถัดไปได้เป็นดาวจรัสแสงเช่นเธอ ผ่านการถ่ายทอดภายใต้แนวคิด “Creative Leadership: The Blueprint of Award-Winning Performer and Producer”
“ปัญญาชนก้นครัว” เป็นละครเรื่องแรกที่แอนเลือกหยิบขึ้นมาทำ ด้วยแรงบันดาลใจจากนิยายที่มีแนวร่วมพล็อตละครสมัยก่อนผสมอยู่ หลังจากปิ๊งไอเดียเรื่องนี้ เธอแคสต์นักแสดงทั้งหมดด้วยตัวเอง และดำเนินกองถ่ายไปอย่างไม่ได้คาดหวังผลตอบรับ และความไม่คาดหวังนี้เองที่ตียอดเรตติงสูงกลับมา ทำให้แอนรู้ว่าเธอเป็นผู้จัดละครได้!
ทั้งเนื้อหาในละครที่ตั้งคำถามกับสังคม ว่าเพราะเหตุใดถึงไม่อนุญาตให้หญิงสูงวัยที่เคยล้มเหลวในรัก มีรักอีกครั้งได้ในเรื่อง “แอบรักออนไลน์” แอนออกโลดแล่นแบบนกที่มีปีกแข็งแรง สิ่งสำคัญคือเธอเปิดใจที่จะทำงานกับเด็กรุ่นใหม่ เพราะจะได้ฟังความคิดแหวกๆ อยู่เสมอ ให้โอกาสนักแสดงทุกคนในกองร่วมสร้างสรรค์ตัวละครในมุมมองของพวกเขา ปล่อยพื้นที่ให้คนได้ตีลังกาปาระเบิด และเธอว่าการขึ้นเป็นผู้บริหารค่ายละครช่วยเปิดโลกได้ว่าผู้บริหารที่ดีต้องเป็นอย่างไร
ผู้คนอาจยังไม่รู้ว่าเธออยู่เบื้องหลังละครมาแล้วหลายเรื่อง กระทั่งวันนี้ที่ลายเส้นเธอชัดแจ๋วที่สุดด้วยละคร “My Cherie Amour หนึ่งในร้อย” ถนนเลียบตึกข้างกระทรวงกลาโหมกลับมาครึกครื้น ด้วยใครต่อใครก็อยากย้อนไปยังปี 30 ลองสวมบทบาทเป็นสาวน้อยญาญ่า และอยากมีคุณพระเป็นของตัวเองสักครั้งในชีวิต
เมื่อละครเรื่องนี้จบลง เชื่อว่าผู้ชมคงลุ้นกันอยู่ว่าแอนจะปล่อยของอะไรออกมาให้ได้เห็นกันอีกบ้าง และต้องบอกเลยว่าระหว่างที่เธอเฉิดฉายอยู่บนเวทีที่สร้างเธอมา นอกจากใบหน้าท่าทางประจำตัวจะส่งให้เปล่งประกาย ภาษาบอกเล่าของเธอยังวิจิตรเหมือนภาษาเขียน สมกับเป็นผู้จัดละครจริงๆ
ปิดท้ายด้วย “อาจารย์ภูรัตน์ โอสถานุเคราะห์” อธิการบดีแห่งมหาวิทยาลัยกรุงเทพใต้หัวข้อ “Passion to Success: Scaling Creativity in Today’s World ยกระดับความคิดสร้างสรรค์ยุคใหม่” ที่ขึ้นมาเตือนใจบรรดานิสิตของเขาว่าความหลงใหลนั้นสำคัญ แต่ต้องพ่วงด้วยแรงขับเคลื่อนที่สำคัญกว่า เพื่อพาเราไปให้ถึงฝั่งฝัน และกลายเป็นดาวเจิดจรัสไม่แพ้ดวงอื่น
สำหรับอีเวนต์คุณภาพที่มหาวิทยาลัยกรุงเทพได้จัดขึ้นเพื่อเติมไฟฝันเด็กๆ ในคราวนี้ เชื่อเลยว่าอนาคตจะมีชนชาวครีเอทิฟเพิ่มขึ้น และนักศึกษาเหล่านี้คงได้เป็นดาวประดับอยู่ในแวดวงสื่อ ไม่วันใดก็็วันหนึ่ง