‘เอสเค’ หวั่นอินโดฯ-มาเลย์ได้เปรียบ พลิกกลยุทธ์สร้างฐานลูกค้าเวียดนาม
สัมภาษณ์พิเศษ
จากภาษีสหรัฐทำให้ภาคอุตสาหกรรม ผู้ประกอบการต้องมีการปรับตัวเพื่อตั้งรับสถานการณ์การค้าการแข่งขันที่เปลี่ยนแปลงไป จากการเรียกเก็บภาษีนำเข้าของสหรัฐอเมริกาส่งผลให้ประเทศไทยต้องเร่งเพิ่มศักยภาพการแข่งขัน การพยายามรักษาตลาดเดิม และขยายสู่ตลาดใหม่ ๆ เพื่อเพิ่มโอกาสทางการค้าในตลาดโลก
ล่าสุด “ประชาชาติธุรกิจ” สัมภาษณ์พิเศษ“นายสุภาพ สุวรรณพิมลกุล” รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท เอส.เค.โพลีเมอร์ จำกัด ผู้ผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์จากยางและพลาสติกสำหรับอุตสาหกรรม ถึงแนวทางการรับมือกับสภาวะเศรษฐกิจปัจจุบัน การปรับตัว มองหาโอกาสในการขยายการค้าการลงทุน
เอสเคส่งออกสหรัฐ 20% ของยอดขาย
เมื่อก่อนที่จะมีอัตราภาษีสหรัฐ บริษัทได้มีการขยายการลงทุนไปที่ลาดหลุมแก้ว จังหวัดปทุมธานี โดยเป็นโรงงานชิ้นส่วนยางในกลุ่มเครื่องมือแพทย์และเภสัชกรรม ซึ่งลูกค้าหลักส่วนใหญ่อยู่ในประเทศและส่งออกญี่ปุ่น ซึ่งการดำเนินก็เป็นไปในทิศทางที่ดี ขณะที่สำนักงานใหญ่ยังคงอยู่ที่เทียนทะเล กรุงเทพฯ ซึ่งเป็นฐานการผลิตสำคัญของบริษัทในกลุ่มชิ้นส่วนเครื่องใช้ไฟฟ้า ให้กับบริษัทที่ผลิตสินค้าเพื่อการส่งออก
เมื่อดูยอดขายรวมของทั้งบริษัทในปี 2567 อยู่ที่ประมาณ 900 ล้านบาท โดยในปี 2568 จำเป็นจะต้องติดตามปัจจัยเรื่องของตลาดสหรัฐ เนื่องจากบริษัทมีการส่งออกในสัดส่วน 25% ส่วนอีก 75% เป็นการจำหน่ายในประเทศ ทั้งนี้ บริษัทส่งออกไปสหรัฐอเมริกา ประมาณ 20% ของยอดขายรวม หรือประมาณเกือบ 200 ล้านบาท รองลงมาจะเป็นญี่ปุ่น กลุ่มประเทศอาเซียน เม็กซิโก เป็นต้น ซึ่งหากการส่งออกสินค้าไทยไปสหรัฐถูกเก็บอัตราภาษีที่สูง มองว่าจะมีผลกระทบต่อยอดรายได้ และปัจจุบันบริษัทเพิ่งพ้นจากการเป็นผู้ประกอบการเอสเอ็มอี เนื่องจากยอดขายต่อปีสูงกว่า 500 ล้านบาท
ทั้งนี้ ที่ผ่านมาการดำเนินธุรกิจของบริษัทนั้นไม่ได้มีปัจจัยในเรื่องของอัตราภาษีสหรัฐเข้ามาเป็นตัวพิจารณาการดำเนินธุรกิจ แต่ปัจจุบันพบว่าภาษีสหรัฐได้มีผลกระทบทั่วโลก ไม่ใช่ประเทศใดประเทศหนึ่ง ซึ่งมีผลทำให้เราต้องมีการนำเรื่องนี้เข้ามาพิจารณาในการดำเนินธุรกิจและเจรจากับผู้นำเข้าและลูกค้า ล่าสุดเมื่อสหรัฐมีการประกาศภาษีของไทยอยู่ที่ 19% ถือว่าทำให้สถานการณ์ผ่อนคลายขึ้น หากเทียบภาษีเดิมที่ 36% แต่ก็ยังต้องยอมรับว่าเราก็ยังเสียเปรียบให้กับบริษัทที่อยู่ในสหรัฐอเมริกาที่ไม่ต้องเสียภาษีนำเข้าและค่าขนส่ง ซึ่งเสียเปรียบด้านราคาประมาณ 31% เป็นอย่างต่ำ
คู่แข่งมีต้นทุนค่าแรงถูกกว่าไทย
“ก่อนที่เราจะรับรู้ว่าถูกเก็บภาษีที่ 19% เราได้พิจารณา หากเราถูกเก็บอัตราภาษีที่ 36% ทำให้มีโอกาสว่ายอดขายของบริษัทในตลาดสหรัฐหายไป 100 ล้านบาท จากปัญหาอัตราภาษีสหรัฐที่สูงขึ้น จะมีผลกระทบหนักมาก และจะมีผลกระทบต่อการจ้างแรงงาน และจะมีผลต่อยอดขาย และคำสั่งซื้อของลูกค้าซึ่งก็อาจจะต่อเนื่องไปจนถึงต้นปี 2569 ได้ เพราะโอกาสที่ลูกค้าในสหรัฐจะหันไปสั่งซื้อสินค้าจากอินโดนีเซีย มาเลเซีย และเวียดนาม ซึ่งมีสินค้าผลิตภัณฑ์ยางเช่นเดียวกับไทย ประกอบกับต้นทุนค่าแรงที่ถูกกว่าไทย 30-40% และแม้อัตราภาษีจะอยู่ในระดับใกล้เคียงกัน แต่ต้นทุนแรงงานก็ยังถือว่าดีกว่าไทยมาก”
อย่างไรก็ดี เมื่ออัตราภาษีมีการประกาศชัดเจน ผลกระทบในตลาดสหรัฐยอมรับว่ายอดขายได้รับผลกระทบบ้าง แม้ปัจจุบันจะยังมีคำสั่งซื้อเข้ามาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งอาจจะมีผลส่วนหนึ่งมาจากในช่วงเดือนเมษายน 2568 ที่ผ่านมา ที่ผู้นำเข้าสหรัฐมีการเร่งนำเข้าเพื่อสต๊อกสินค้าเป็นจำนวนมาก ส่งผลให้ยอดขายของบริษัทในช่วงครึ่งปีแรกเพิ่มขึ้นประมาณ 20% เมื่อเทียบครึ่งปีเดียวกันในปีที่ผ่านมา ส่วนรายได้รวมทั้งปี 2568 มองว่ายังคงใกล้เคียงจากปีที่ผ่านมา แม้ผลในตัวของตลาดสหรัฐจะมีการปรับลดลงบ้างก็ตาม
ปรับกลยุทธ์รับมือภาษีสหรัฐ
ทั้งนี้ บริษัทมีการปรับกลยุทธ์การตลาด รีดไขมันส่วนเกิน พร้อมกับเพิ่มศักยภาพในการผลิต โดยมีการเจรจากับลูกค้าในตลาดสหรัฐเพื่อปรับต้นทุน โดยเสนอตัวช่วยบรรเทาความเดือดร้อนให้ลูกค้าผู้นำเข้า เพราะมองว่าถ้าลูกค้าอยู่รอด บริษัทก็อยู่รอดได้ เป็นกลยุทธ์สำคัญในการผูกใจลูกค้า
“ส่วนลูกค้าในประเทศไทย จะเป็นลูกค้าที่ผลิตเครื่องใช้ไฟฟ้าที่เป็นแบรนด์ของคนไทย และเป็นแบรนด์ต่างชาติ หากลูกค้าของเราส่งออกไม่ได้ก็จะมีผลต่อยอดการผลิต ก็จะมีผลกระทบต่อคำสั่งซื้อชิ้นส่วนประกอบที่มาจากบริษัทลดลงได้”
ต้องยอมรับว่าภาพรวมตลาดในประเทศลดลง โดยเฉพาะกลุ่มสินค้าเครื่องซักผ้าซึ่งมีความน่าเป็นห่วง ดังนั้น การปรับกลยุทธ์ที่เข้าไปคุยกับลูกค้า บริษัทก็จะต้องมีการปรับปรุงการผลิตสินค้า รวมไปถึงการนำเครื่องจักร ระบบออโตเมชั่น เข้ามาใช้ให้มากขึ้น รวมถึงการยกระดับแรงงานของบริษัทให้มีประสิทธิภาพ ซึ่งที่ผ่านมาก็ต้องถือว่าเป็นโชคดีที่บริษัทมีการยกระดับในเรื่องนี้มาอย่างต่อเนื่อง และเมื่อมาเจอสถานการณ์ในปัจจุบันทำให้เราสามารถรับมือเพื่อยังคงสถานะการแข่งขันในตลาดได้
เล็งปักหมุดลงทุนที่เวียดนาม
บริษัทมองหาโอกาสในการขยายการลงทุนไปในต่างประเทศ ซึ่งเป็นแผนในระยะกลาง มีการศึกษาแนวทางตั้งแต่ที่เวียดนามเข้าไปเป็นสมาชิก CPTPP แล้ว รวมไปถึงปัจจัยนโยบายของรัฐบาลที่มีการปรับขึ้นอัตราค่าแรงขั้นต่ำจาก 300 บาทต่อวัน เป็น 370 บาทต่อวัน ที่เป็นแรงขับเคลื่อนที่ทำให้บริษัทจำเป็นจะต้องมองหาโอกาสที่จะไปลงทุนในตลาดใหม่ ๆ ซึ่งเบื้องต้นได้มีการพิจารณาและศึกษาที่จะเข้าไปขยายการลงทุนในประเทศเวียดนาม รวมไปถึงอาจจะใช้กลยุทธ์ไป “ผลิตทั่วโลกเพื่อขายทั่วโลก” จากที่เรามองว่าผลิตในไทยและขายทั่วโลก ซึ่งเริ่มต้นอาจจะไปที่เวียดนาม ซึ่งจะเริ่มจากการเป็นฐานการผลิตเล็ก ๆ เป้าหมายอยากจะให้ครอบคลุมในเขตโฮจิมินห์และฮานอย อย่างไรก็ตาม การลงทุนจะเริ่มจากการเร่งสร้างฐานลูกค้าก่อนแล้วค่อยเริ่มลงทุน
ส่วนตลาดส่งออก บริษัทมีการมองหาตลาดใหม่เพิ่ม เช่น บราซิล เม็กซิโก อเมริกาใต้ ซึ่งการที่จะมองหาตลาดดังกล่าวนั้น ก็จำเป็นจะต้องพิจารณาในเรื่องของผลิตภัณฑ์ยางพาราด้วย แต่ยอมรับว่าในตลาดดังกล่าวก็มีคู่แข่งเป็นจำนวนมาก ซึ่งจะเน้นลูกค้าที่เป็นกลุ่มผลิตสินค้าและเพื่อส่งออก เพราะสินค้าของเราเป็นชิ้นสินค้าส่วนประกอบในกลุ่มเครื่องใช้ไฟฟ้า
วอนดูแลค่าบาท-อย่าเพิ่งขึ้นค่าแรง
นโยบายของรัฐบาลในการส่งเสริมการขึ้นค่าแรงขั้นต่ำนั้น มีผลต่อต้นทุนการผลิตของผู้ประกอบการในประเทศ เข้าใจในนโยบายรัฐที่ต้องการเพิ่มรายได้ให้ประชาชน แต่อยากให้รัฐคำนึงถึงสภาวะเศรษฐกิจและระยะเวลาที่เหมาะสม ไม่ควรพิจารณาขึ้นค่าแรงในช่วงที่เศรษฐกิจตอนนี้ยังไม่แข็งแรง อีกทั้งเรากำลังเผชิญปัญหาภาษีสหรัฐ อย่างไรก็ตาม บริษัทยืนยันว่าการพิจารณาลดจำนวนแรงงานเพื่อลดต้นทุนนั้น จะเป็นนโยบายสุดท้ายที่จะทำ
ส่วนเรื่องของอัตราแลกเปลี่ยน หากรัฐมีนโยบายเข้ามาดูแลค่าเงินบาท จะช่วยภาคการส่งออกและการผลิตของประเทศได้ ผู้ส่งออกมองว่า ค่าเงินในอัตราที่เหมาะสมน่าจะอยู่ที่ 33-34 บาทต่อเหรียญสหรัฐ หากค่าเงินบาทแข็งค่าเกินไปจะทำให้ศักยภาพการแข่งขันและภาคการส่งออกของไทยลดลง และเชื่อว่าจากผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทยคนใหม่จะสามารถทำงานสอดประสานกับกระทรวงการคลังได้
ส่วนมาตรการซอฟต์โลน เพื่อช่วยเหลือผู้ประกอบการจากผลกระทบภาษีทรัมป์นั้น มองว่าดี แต่ต้องยอมรับว่าศักยภาพของการเข้าถึงเงินกู้อาจจะไม่เท่ากัน เพราะผู้ประกอบการรายเล็กอาจจะหาหลักประกันไม่ได้ เนื่องจากไม่มี เพราะมีการใช้สำหรับกู้เงินเดิมที่ใช้ไปแล้ว ดังนั้น ทางเลือกหนึ่ง คือ การให้ความช่วยเหลือผ่านกองทุนให้กับผู้ประกอบการ
อ่านข่าวต้นฉบับได้ที่ : ‘เอสเค’ หวั่นอินโดฯ-มาเลย์ได้เปรียบ พลิกกลยุทธ์สร้างฐานลูกค้าเวียดนาม
ติดตามข่าวล่าสุดได้ทุกวัน ที่นี่
– Website : https://www.prachachat.net