"อ.ปานเทพ" ตอบแล้ว ทำไม ยังจำเป็น ต้องเปิดรับบริจาคต่อไป
อ.ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ ได้ออกมาโพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ ระบุว่า
ตอบคำถาม ทำไมมูลนิธิยามเฝ้าแผ่นดิน ยัง “จำเป็น”ต้องเปิดรับบริจาคเพื่อช่วยกองทัพต่อไป?
ตามที่เรียนให้ทราบว่าเงินบริจาคจากพี่น้องประชาชน ที่เข้ามายังมูลนิธิยามเฝ้าแผ่นดินบัญชีออมทรัพย์ ธนาคารกสิกรไทย เลขที่ 008-2-18199-9 ซึ่งเข้าในโครงการผลิตโดรนและแอนตี้โดรนให้กับกองทัพภาคที่ 2 ได้ปิดโครงการไปแล้วเมื่อเที่ยงคืนวันที่ 1 สิงหาคม 2568 โดยมีเงินเข้ามาบริจาคประมาณ 106 ล้านบาทก็ตาม แต่ก็ยังมีเงินบริจาคเข้ามาต่อเนื่อง จนถึงเมื่อเช้าวันอังคารที่ 5 สิงหาคม 2568 ยังคงมีเงินเข้ามาในโครงการนี้อีกจนรวมประมาณ 110 ล้านบาท ดังนั้นเงินส่วนที่ได้รับมาหลังจากวันปิดโครงการในช่วงเวลานี้จะถือว่าเป็นความต่อเนื่องในโครงการนี้อยู่
โดยในขณะนี้มูลนิธิยามเฝ้าแผ่นดินได้ทำการชำระเงินเพื่อสั่งทำโดรนแบกน้ำหนักระเบิดได้ 50 ลำ (ส่งมอบให้กองทัพภาคที่ 2 แล้ว 9 ลำ เหลืออีก 41 ลำ) โดรนลาดตระเวนชนิดพิเศษ 20 ลำ รวมโดรนทั้งหมด 70 ลำ สถานีระบบแอนตี้โดรน 20 แห่ง ปืนแอนตี้โดรน ซื้อได้แบบแย่งคิวนำเข้าจากต่างประเทศ 2 เครื่อง(กระบอก) และโดรนโลเคเตอร์จำนวน 31 เครื่อง รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 89,409,200 บาท คงเหลือเงินที่จะต้องดำเนินการตามความต้องการของกองทัพภาคที่ 2 อีกประมาณ 20,590,800 บาท (ซึ่งเอาจริงๆแล้วถือว่าเหลืองบประมาณไม่มากเมื่อเทียบกับมูลค่าในผลิตภัณฑ์กลุ่มนี้ที่มีราคาสูง)
แต่งบประมาณที่เหลือก็ต้องเป็นไปตามความเห็นชอบของท่านแม่ทัพภาคที่ 2 เท่านั้น และได้มีการประสานกับกองทัพอย่างต่อเนื่อง เพราะด้วยงบประมาณที่เหลือไม่มากต้องมีการจัดลำดับความสำคัญที่สุดในทุกสิ่งที่ล้วนแล้วแต่มีความสำคัญและไม่เพียงพอให้ “ทันเวลา”ด้วย และผลิตภัณฑ์บางอย่างก็สำคัญเป็นความลับทางราชการจนไม่สามารถเปิดเผยในเวลานี้ได้
และบางอย่างก็ต้องมีงบประมาณเหลือสำรองจำนวนหนึ่งที่พร้อมใช้งานในสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไปโดยความเห็นชอบของท่านแม่ทัพภาคที่ 2 ด้วย
ตัวอย่างเช่น แม้เดิมทีเราต้องการที่จะหา “ปืนแอนตี้โดรน” ที่มีคุณภาพให้มากที่สุด และเร็วที่สุดในสถานการณ์ที่มีโดรนลาดตะเวนจำนวนมาก “ไม่ทราบฝ่าย” ได้บินเข้ามาในประเทศไทย และบินยังสถานที่สำคัญของกองทัพ รวมถึงสถานที่สำคัญเช่น เขื่อน ที่อาจทำให้ประเทศชาติและประชาชนได้รับความเสียหายอย่างร้ายแรงในอนาคตได้ แต่เราก็ยังไม่สามารถหาซื้อได้เวลาที่รวดเร็วได้ แม้แต่เฉพาะที่ซื้อนำเข้าให้ได้มา 2 กระบอกก็เป็นการลัดคิวจากที่ต้องส่งให้ประเทศอื่น และเร็วที่สุดก็ส่งมอบได้อีก 30 วันข้างหน้า
ดังนั้น อาจจะเป็นต้องใช้ “อุปกรณ์อย่างอื่น” หรือ “กรรมวิธีอย่างอื่น” ประยุกต์ใช้แทนปืนแอนตี้โดรนในการจัดการกับปัญหาโดรนไม่ทราบฝ่ายจำนวนมากไปพลางก่อน
แม้รัฐบาลไทยจะมีนโยบายจัดเตรียมงบประมาณให้กับกระทรวงกลาโหมเป็นการเร่งด่วนเพื่อเตรียมรับมือต่อภัยคุกคามรูปแบบใหม่ แต่ด้วยระบบการจัดงบประมาณภาครัฐในการจัดซื้อจัดจ้าง ขนาดฉุกเฉินหรือตัดจากงบกลางและได้อนุมัติจากคณะรัฐมนตรีแล้วก็ตาม(ซึ่งต้องใช้เวลานานอย่างน้อย 1-2 สัปดาห์) ก็ยังต้องใช้เวลาต่อจากนั้นในการจัดซื้อจัดจ้างจนส่งมอบผลิตภัณฑ์อย่างเร็วที่สุดคือ 75 -90 วันขึ้นไป
ซึ่ง “เวลา” ที่นานเช่นนี้ย่อมทำให้มีความเสี่ยงต่อร่างกายและชีวิตของทหารได้ตลอดเวลา
นอกจากนั้น เรายังพบว่ายังมีปัญหาสำคัญอีกประการหนึ่งคือไม่ใช่ว่ามีเงินหรืองบประมาณแล้วจะซื้อได้อย่างที่คิด ด้วยเพราะหลายประเทศเร่งและแย่งซื้อใช้โดรนและแอนตี้โดรนที่มีคุณภาพในเวลาพร้อมๆกัน ถึงขนาดว่าผลิตกันไม่ทัน
หมายความว่าในสถานการณ์เช่นนี้ ต่อให้มีงบประมาณ ก็ไม่ใช่ว่าจะหาผลิตภัณฑ์เหล่านี้ได้ทันเวลาได้ ซึ่งกลไกการจัดซื้อจัดจ้างจากภาครัฐอาจไม่เอื้ออำนวยในสถานการณ์ผิดปกติแย่งชิงซื้อผลิตภัณฑ์โดรนและแอนตี้โดรนพร้อมๆกันในหลายประเทศ
ยกเว้นว่าเราจะต้องหาทางผลิตทั้งโดรนและระบบแอนตี้โดรนที่ผลิตเองในประเทศให้เร็วและมากที่สุด ซึ่งนอกจากจะมีความปลอดภัยและทันสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไปในสงครามคลื่นความถี่กับอริราชศัตรูแล้ว ยังมีราคาถูกกว่าราคาในตลาดโลกทำให้เพิ่มความปลอดภัยได้จำนวนพื้นที่มากขึ้นด้วย แต่ถีงกระนั้นคำสั่งผลิตแต่ละครั้งก็ยังต้องใช้เวลาในการผลิต “เร็วที่สุด” ประมาณ 21- 30 วัน ขึ้นไปต่อ 1 คำสั่งซื้อ เพราะไม่มีใครเตรียมสินค้าเหล่านี้เอาไว้ในคงคลังมากๆ แต่ก็ถือว่าการที่มูลนิธิยามเฝ้าแผ่นดินที่ได้เงินบริจาคประชาขนนั้นเป็นวิธีการและกลไกที่ “เร็วที่สุด” เท่าที่ทำได้ในเวลานี้ และช่วยเหลือกองทัพได้ในสถานการณ์นี้อย่างแน่นอน
เราขอขอบพระคุณเอกชนบางรายได้ให้กองทัพยืมแอนตี้โดรนไปใช้งานเพื่อช่วยชาติบางส่วน และยังมีเอกชนบางรายก็ได้บริจาคโดรนให้กองทัพไปด้วย อันเป็นการแสดงน้ำใจของทุกภาคส่วนที่เข้าช่วยเหลือกองทัพในหลายๆด้าน
จากเหตุผลดังกล่าวข้างต้น จึงทำให้ในขณะนี้ทหารหลายพื้นที่ติดต่อและขอการสนับสนุนมายังมูลนิธิยามเฝ้าแผ่นดินจำนวนมาก ทั้งโดรน สถานีแอนตี้โดรน ปืนแอนตี้โดรน โดรนโลเคเตอร์ ฯลฯ ทั้งๆที่เราเหลืองบประมาณไม่มากนักหลังจากปิดโครงการแล้ว แต่เราก็ไม่อาจทอดทิ้งทหารที่กำลังรอการสนับสนุนในเรื่องนี้ให้ “ทันเวลา”ได้
กรรมการมูลนิธิยามเฝ้าแผ่นดินจึงเห็นชอบที่จะขยายระยะเวลาโครงการออกไปก่อน เพื่อสนับสนุนภารกิจกองทัพให้ทันเวลาและทันสถานการณ์ในช่วงการเปลี่ยนผ่านรองบประมาณจากงบกลางหรือการอนุมัติเพิ่มเติมจากรัฐบาลหรือรัฐสภาต่อไป เท่าที่เราจะทำได้
โดยท่านที่สนใจสามารถเข้าร่วมบริจาคโครงการเพื่อจัดซื้อโดรนพิเศษทิ้งระเบิดของไทย โดรนลาดตะเวนไทย และแอนตี้โดรนไทย ให้กับกองทัพภาคที่สอง ได้ที่
บัญชีออมทรัพย์ มูลนิธิยามเฝ้าแผ่นดิน ธนาคารกสิกรไทย เลขที่ 008-2-18199-9 (โปรดระวังมิจฉาชีพ ไม่มีสแกนคิวอาร์โค้ท หรือกดลิงค์บัญชีใดๆเด็ดขาด)
โดยเงินทุกบาทของทุกท่านจะเป็นส่วนหนึ่งในประวัติศาสตร์ของประชาชนที่สนับสนุนกองทัพกองทัพในการปกป้องอธิปไตย และทำให้ทหารมีความปลอดภัย อย่างน่าภาคภูมิใจสืบไป
ด้วยจิตคารวะและกราบขอบพระคุณทุกท่านมา ณ โอกาสนี้
ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์
คณบดีวิทยาลัยการแพทย์แผนตะวันออก มหาวิทยาลัยรังสิต
ประธานมูลนิธิยามเฝ้าแผ่นดิน
5 สิงหาคม 2568