เกาหลีใต้พลิกวิกฤตเป็นโอกาสสร้างอุตสาหกรรมป้องกันประเทศ และส่งออกอาวุธรายใหญ่ของโลกได้อย่างไร ?
ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ประเทศเกาหลีใต้ได้ก้าวขึ้นมาเป็นผู้ส่งออกอาวุธรายสำคัญระดับโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่งอาวุธสำหรับพันธมิตรของสหรัฐอเมริกาการเติบโตนี้ได้รับแรงหนุนจากความต้องการอาวุธทั่วโลกที่พุ่งสูงขึ้น
เนื่องจากความไม่แน่นอนทางภูมิรัฐศาสตร์และความขัดแย้งต่างๆรัฐบาลเกาหลีใต้มีนโยบายการลงทุนอย่างต่อเนื่องในอุตสาหกรรมป้องกันประเทศ และความสามารถในการนำเสนออาวุธที่ "ราคาถูกกว่า ดีกว่า และเร็วกว่า"
เกาหลีใต้จึงสามารถเปลี่ยนวิกฤตการณ์และความต้องการของตลาดให้เป็นโอกาสทองในการสร้างสถานะเป็นมหาอำนาจด้านอุตสาหกรรมป้องกันประเทศได้อย่างแข็งแกร่ง
วิกฤตการณ์โลกและพลวัตทางภูมิรัฐศาสตร์
การที่เกาหลีใต้ผงาดขึ้นมาในฐานะผู้จัดหาอาวุธรายใหญ่นั้น มีปัจจัยสำคัญมาจากสถานการณ์ความตึงเครียดทั่วโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง สงครามความขัดแย้งระหว่างรัสเซียและยูเครน คาดว่าส่งผลให้คลังแสงอาวุธของสหรัฐฯ ลดลงอย่างรวดเร็ว
เนื่องจากความช่วยเหลือทางทหารที่ส่งไปให้ยูเครนและอิสราเอล สิ่งนี้ทำให้พันธมิตรของสหรัฐฯ ดังนั้น สหรัฐอเมริกาและชาติพันธมิตรจำเป็นต้องมองหาทางเลือกอื่นเพื่อเติมเต็มคลังอาวุธของตน
โปแลนด์กลายเป็นลูกค้าสำคัญ
โปแลนด์ หนึ่งในสมาชิก NATO ชาติพันธมิตรของสหรัฐอเมริกาที่มีพรมแดนติดกับยูเครน และถือเป็นแนวป้องกันด่านแรกของพันธมิตรหากถูกรัสเซียโจมตี
โปแลนด์ได้กลายเป็นลูกค้าที่สำคัญที่สุดของเกาหลีใต้ หลังจากโปแลนด์ได้บริจาครถถังและยานพาหนะรบยุคโซเวียตจำนวนมากให้ยูเครน และด้วยภัยคุกคามจากรัสเซียที่ทวีความรุนแรงขึ้น
ปัจจุบันโปแลนด์ได้เร่งเครื่องด้านการทหาร โดยการเพิ่มงบประมาณด้านกลาโหมอย่างมหาศาล โดยคาดการณ์ว่าจะเพิ่มขึ้นจาก 2.7% ของ GDP ในปี 2022 เป็น 4.7% ในปี 2025 ทำให้โปแลนด์เป็นประเทศสมาชิก NATO ที่ใช้จ่ายด้านกลาโหมสูงสุดเมื่อเทียบกับ GDP
รัฐบาลเกาหลีใต้ส่งเสริมอุตสาหกรรมป้องกันประเทศอย่างไร ?
รัฐบาลเกาหลีใต้ได้ผลักดันอุตสาหกรรมป้องกันประเทศให้กลายเป็นหนึ่งในเสาหลักของเศรษฐกิจประเทศ ภายใต้แนวคิด “อุตสาหกรรมป้องกันประเทศคือเครื่องยนต์เศรษฐกิจ” โดยจัดตั้งหน่วยงานเฉพาะทางอย่าง DAPA (Defense Acquisition Program Administration) ตั้งแต่ปี 2006 เพื่อดูแลการวิจัย พัฒนา การจัดซื้อ และส่งออกอาวุธแบบครบวงจร พร้อมทั้งอัดฉีดงบประมาณสนับสนุนการพัฒนาเทคโนโลยีทางทหาร เช่น ปัญญาประดิษฐ์ ระบบป้องกันภัยทางอากาศ และอาวุธอัตโนมัติ
โดยรัฐบาลทำหน้าที่ฝ่ายการตลาด เพื่อส่งเสริมการส่งออกอาวุธอย่างจริงจัง โดยใช้ช่องทางการทูตระดับสูง ผู้นำเกาหลีใต้มักร่วมเจรจาขายอาวุธแบบรัฐต่อรัฐ ซึ่งช่วยเปิดตลาดใหม่ในกลุ่มประเทศ NATO, ตะวันออกกลาง และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
นอกจากนี้ ยังใช้ความร่วมมือระหว่างภาครัฐ เอกชน และสถาบันการศึกษา ที่ร่วมกันสร้างระบบนิเวศนวัตกรรมด้านความมั่นคง ลักษณะคล้ายกับ “Defense Valley” ซึ่งเป็นศูนย์กลางเทคโนโลยีทางทหาร คล้ายกับ Silicon Valley ศูนย์กลางด้านเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์ในสหรัฐฯ
อาวุธเกาหลีใต้ "ราคาถูกกว่า ดีกว่า เร็วกว่า"
เกาหลีใต้แตกต่างจากประเทศตะวันตกบางประเทศที่ลดขนาดสายการผลิตทางทหารลงหลังสงครามเย็น การลงทุนอย่างต่อเนื่องในอุตสาหกรรมป้องกันประเทศของเกาหลีใต้ทำให้ประเทศสามารถรักษาขีดความสามารถในการผลิตที่แข็งแกร่งและส่งมอบอาวุธได้รวดเร็ว
ตัวอย่างที่ชัดเจน คือ โปแลนด์เลือกเครื่องบินขับไล่ FA-50 ของ KAI เนื่องจากความสามารถในการส่งมอบให้ลูกค้าที่รวดเร็ว โดย 12 ลำแรก ถูกส่งมอบภายในสิ้นปี 2023 เพื่อเติมเต็มฝูงบินรบให้กับโปแลนด์ หลังจากโปแลนด์บริจาคเครื่องบินรบให้ยูเครน
อาวุธเกาหลีใต้มีประสิทธิภาพทัดเทียมอาวุธของสหรัฐฯ แต่มีต้นทุนถูกกว่า ตัวอย่างเช่น ขีปนาวุธสกัดกั้น Cheon-gong ของเกาหลีใต้ ซึ่งผลิตโดย LIG Nex1 มีประสิทธิภาพใกล้เคียงกับขีปนาวุธ PAC-3 ของสหรัฐฯ แต่มีราคาเพียงหนึ่งในสามของสหรัฐอเมริกาเท่านั้น
ข้อได้เปรียบสำคัญของอาวุธจากเกาหลีใต้ คือ เทคโนโลยีอาวุธสามารถเข้ากันได้กับระบบอาวุธของ NATO และสหรัฐอเมริกา ช่วยให้ผู้ซื้ออาวุธของเกาหลีใต้ลดความซ้ำซ้อนในการบริหารจัดการ การซ่อมบำรุงอาวุธ และการขนส่งอาวุธ ซึ่งต้องใช้เทคโนโลยีที่เข้ากันได้
เกาหลีใต้ผู้ส่งออกอาวุธอันดับ 10 ของโลก
การส่งออกอาวุธของเกาหลีใต้เพิ่มขึ้น 4.9 เปอร์เซ็นต์ในช่วงห้าปีที่ผ่านมา ทำให้เกาหลีใต้กลายเป็นผู้ส่งออกอาวุธรายใหญ่อันดับ 10 ของโลก ตามข้อมูลของสถาบันวิจัยสันติภาพระหว่างประเทศสตอกโฮล์ม โดยเกาหลีใต้มีส่วนแบ่งการส่งออกอาวุธทั่วโลกก็เพิ่มขึ้นเล็กน้อยจาก 2.1 เปอร์เซ็นต์เป็น 2.2 เปอร์เซ็นต์
มูลค่าการส่งออกอาวุธของเกาหลีใต้อยู่ที่ 14,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือ 511,000 ล้านบาท ส่วนใหญ่ส่งออกไปยังโปแลนด์ ซึ่งเป็นลูกค้าอาวุธรายใหญ่ที่สุดของเกาหลีใต้ คิดเป็น 46 เปอร์เซ็นต์ของการส่งออกทั้งหมด รองลงมาคือฟิลิปปินส์ที่ 14 เปอร์เซ็นต์และอินเดียที่ 7 เปอร์เซ็นต์
รัฐบาลเกาหลีใต้วางแผนระยะยาวเพื่อก้าวขึ้นเป็นประเทศผู้ส่งออกอาวุธอันดับ 4 ของโลก ในปี 2027 ทั้งนี้แผนการดังกล่าวขึ้นอยู่กับปัจจัยของวิกฤตการณ์โลกและพลวัตทางภูมิรัฐศาสตร์
โอกาสของประเทศไทยในสงครามผสมผสาน (Hybrid Warfare)
การที่ประเทศไทยจะสามารถดำเนินรอยตามเกาหลีใต้ได้นั้น อาจต้องพิจารณาว่าประเทศไทยมีศักยภาพในการพัฒนาอุตสาหกรรมป้องกันประเทศให้มีคุณสมบัติ "ถูกกว่า ดีกว่า เร็วกว่า" ได้หรือไม่ ?
ซึ่งสิ่งเหล่านี้จำเป็นต้องได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลและกองทัพ เริ่มจากกระบวนการพัฒนาบุคคลที่มีความรู้ความสามารถด้านเทคโนโลยีอาวุธ การส่งเสริมด้านเทคโนโลยี การส่งเสริมอุตสหกรรมป้องกันประเทศ การทดสอบใช้งานจริงในกองทัพไทย การเจรจาทำตลาด และส่งออกไปยังต่างประเทศ
ปัจจุบันสงครามสมัยใหม่มีลักษณะเป็นสงครามที่ใช้การรบนอกรูปแบบ สงครามผสมผสาน (Hybrid Warfare) เช่น การใช้ฝูงโดรนบินขนาดใหญ่ บินรวบรวมข้อมูลสนับสนุนการใช้อาวุธหลัก (โดรน ISR หรือ Intelligence, Surveillance and Reconnaissance) หรือการใช้โดรนพลีชีพ (Kamikaze Drone) สร้างความเสียหายจากระยะไกล
ไทยมีอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์และยานยนต์ ซึ่งมีห่วงโซ่อุปทานและแรงงานที่มีทักษะรองรับอยู่แล้ว การมุ่งเน้นการพัฒนาในตลาดอาวุธเฉพาะกลุ่ม (Niche Market) การมุ่งเป้าไปสู่ศูนย์กลางการวิจัยและพัฒนา (R&D) เทคโนโลยีโดรนรูปแบบต่าง ๆ, ระบบเซ็นเซอร์ขั้นสูง, ปัญญาประดิษฐ์ (AI) สำหรับควบคุมการบิน และระบบขับเคลื่อน อาจเป็นโอกาสใหม่ที่ประเทศไทยมีศักยภาพไปถึงได้
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
- K-Beauty สะเทือนจากภาษีทรัมป์ คนอเมริกันเร่งตุนสินค้า
- ศรีสะเกษเตือนงดเดินทางกลับบ้านชายแดน เหตุยังไม่ปลอดภัย
- ยุน ซ็อก-ยอล "ถอดเสื้อผ้าประท้วง" ปฏิเสธการสอบสวน ปมประกาศกฎอัยการศึก
- สวีเดนยืนยันขาย Gripen ให้กับไทย! ย้อนดูสเปกเครื่องบินขับไล่ Gripen E/F ต่างจากรุ่นเดิม C/D อย่างไร ?
- เจาะเทรนด์โซเชียล สมรภูมิเดือดหน้าจอในความขัดแย้งไทย-กัมพูชา