SCCชี้ปี68EBITDA ดีกว่าปีก่อนที่5.4หมื่นล. ชี้ไร้ผลกระทบสงครามไทย-กัมพูชา
ปูนซิเมนต์ไทย ลั่นEBITDAปีนี้ดีกว่าปีก่อนที่ 5.4หมื่นล้านบาท หลังจากครึ่งปีแรกทำได้แล้วกว่า 3 หมื่นล้านบาท ชี้ภาพรวมเศรษฐกิจโลกในครึ่งปีหลังชะลอตัวแน่นอนจากผลกระทบภาษีสหรัฐฯ แต่กลุมาSCCปรับตัวด้วยการลดต้นทุนตั้งเป้าทั้งปีรวม 1,200 ล้านบาท และตัดขายสินทรัพย์ที่ไม่สร้างผลกำไร ชี้จุดแข็งมีฐานการผลิตที่หลากหลายในอาเซียน ลั่นปลายส.ค.นี้เดินเครื่องโครงการลองเซินที่เวียดนาม
นายธรรมศักดิ์ เศรษฐอุดม กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปูนซิเมนต์ไทย จำกัด (มหาชน) หรือ SCCเปิดเผยแนวโน้มผลการดำเนินงานในครึ่งปีหลัง2568 ว่า ยังท้าทายอยู่มาก โดยแนวโน้มเศรษฐกิจโลกชะลอตัวแน่นอนจากผลกระทบการขึ้นภาษีสหรัฐฯ ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์และราคาพลังงานที่ผันผวน แต่บริษัทยังคงไม่ปรับเป้าหมายยอดขายปีนี้ที่ตั้งเป้ทโต3-5% แต่จะเร่งเพิ่มขีดความสามารถการแข่งขันเพื่อสู้กับทุกความท้าทายรวมทั้งขยายการส่งออกสินค้าไปยังตลาดใหม่ที่มีศักยภาพนอกเหนือสหรัฐฯ ทำให้ปีนี้บริษัทมั่นใจมีกำไรก่อนหักดอกเบี้ย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและการตัดจำหน่าย (EBITDA)มากกว่าปีก่อนที่ 5.4หมื่นล้านบาทแน่นอน เนื่องจาก6เดือนแรกปี2568 บริษัทมีEBITDA อยู่ที่ 30,320ล้านบาท
ทั้งนี้ แม้ว่าภาพรวมเศรษฐกิจในช่วงครึ่งปีหลังจะชะลอตัวจากครึ่งปีแรก จากผลกระทบการปรับขึ้นภาษีนำเข้าของสหรัฐฯและราคาพลังงานยังผันผวน จึงเป็นความท้าทายที่ต้องเร่งดำเนินงานใน 3 เรื่องหลักที่จะต้องเร่งทำ คือ 1. ชูฐานผลิตหลากหลายในอาเซียน โดยมีแผนปรับปรุงและผลิตปูนโลว์คาร์บอนที่เวียดนาม เพื่อเป็นฐานการส่งออกไปสหรัฐฯ หากไทยโดนภาษี Reciprocal Tarrif ในอัตราที่สูงกว่าเวียดนามที่ถูกเก็บภาษี 20% รวมถึงการผลิตและส่งออกโดยอาศัยฐานการผลิตอาเซียนที่มีความได้เปรียบด้านอัตราภาษีนำเข้าสหรัฐฯ ส่วนฐานการผลิตในไทยจะเน้นทำตลาดส่งออกในอาเซียนและประเทศที่นอกเหนือสหรัฐฯ
2 .ลดต้นทุน แข่งขันกับคู่แข่งระดับโลก โดยบริษัทนำระบบ AIและหุ่นยนต์มาใช้ในการผลิต รวมทั้งปรับปรุงเพิ่มประสิทธิภาโดยปีนี้วางเป้าลดต้นทุนไว้ที่ 1,200ล้านบาท ซึ่ง 6เดือนแรกปี2568 ทำได้แล้ว 900ล้านบาท ทั้งนี้ บริษัทมั่นใจว่าในปี2568 จะเห็นสินค้าในเครือฯเข้าบุกทำตลาดในจีน 3. ขยายพอร์ตสินค้าให้รองรับความต้องการทุกระดับ เพื่อตอบโจทย์กรีน
นายธรรมศักดิ์ กล่าวว่า SCC ยังเดินหน้าปรับโครงสร้างดำเนินงานและธุรกิจ โดยครึ่งปีหลังนี้จะเห็นการตัดขายสินทรัพย์ที่ไม่ทำกำไรออกไป หลังจากไตรมาส2/2568 บริษัท เอสซีจี เคมิคอลส์ (SCGC)ได้ลดสัดส่วนการถือหุ้นใน PT Chandra Asri Pacific Tbk (CAP) ประเทศอินโดนีเชียจาก 30.57% ลงเหลือ 20% ทำให้รับรู้กำไร 16,172 ล้านบาท
นอกจากนี้ SCGC เตรียมแผนกลับมาดำเนินการเชิงพาณิชย์โรงงานลองเชิน ปิโตรเคมิคอลส์ เวียดนาม (LSP) ในช่วงปลายเดือนสิงหาคมนี้ หลังจากมาร์จินเม็ดพลาสติกดีขึ้น โดยวางเป้าเดินเครื่องจักรผลิต 90%ของกำลังการผลิตรวม เน้นทำตลาดในเวียดนาม ทำให้บริษัทฯมีปริมาณการขายเพิ่มขึ้น ส่วนโครงการเพิ่มขีดความสามารถทางการแข่งขันด้วยวัตถุดิบก๊าซอีเทนของ LSP คืบหน้าตามแผน คาดแล้วเสร็จปี 2570 หลังจากนั้นบริษัทกลับมาพิจารณานำSCGC เข้าระดมทุนในตลาดหุ้นฯ
สำหรับผลกระทบจากการปะทะที่ชายแดนไทย-กัมพูชานั้น SCCแทบไม่ได้รับผลกระทบแต่อย่างใด ส่วนการขึ้นภาษีนำเข้าของสหรัฐฯนั้น บริษัทจะเพิ่มความเข้มแข็งฐานการผลิตในไทย หากไทยถูกจัดเก็บภาษีสูงกว่าประเทศเพื่อนบ้านในอาเซียน ก็จะอาศัยฐานการผลิตในเวียดนาม อินโดนีเซีย และฟิลิปปินส์เพื่อส่งออกไปสหรัฐฯแทน ขณะที่การลงทุนในอนาคตก็ยังคงเน้นลงทุนในประเทศที่มีศักยภาพ
สำหรับผลประกอบการครึ่งปีแรกของปี 2568 บริษัทมีรายได้ 249,077 ล้านบาท มีกำไรสุทธิ 18,436 ล้านบาท ทั้งนี้ หากไม่รวมรายการพิเศษจากการปรับโครงสร้างธุรกิจจะมีกำไรอยู่ที่ 3,266 ล้านบาทครึ่งปีแรก 2568 และมีกระแสเงินสด (EBITDA) แกร่งขึ้น อยู่ที่ 30,320 ล้านบาท จากการปรับพอร์ตลงทุน การหยุดธุรกิจไม่ทำกำไร และการบริหารจัดการเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงานของทุกธุรกิจ ขณะที่หนี้สินสุทธิลดลงจากสิ้นไตรมาส 1/2568 ลดลงเกือบหมื่นล้านบาท
website : mgronline.com
facebook : MGRonlineLive
twitter : @MGROnlineLive
instagram : mgronline
line : MGROnline
youtube : MGR Online VDO