“กัณวีร์” ยัน MOU 43-44 ยังจำเป็นต่อการเจรจา
ที่ลานประชาชนอาคารรัฐสภา นายกัณวีร์ สืบแสง สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแบบบัญชีรายชื่อ พรรคเป็นธรรม เดินทางมารับหนังสือจากกลุ่มมวลชนที่ยื่นขอให้ยกเลิกบันทึกความเข้าใจ (MOU) 43-44 โดยกัณวีร์กล่าวว่า วันนี้ตนเองได้รับการประสานงานให้มารับหนังสือจากกลุ่มมวลชนที่ต้องการใช้กลไกของรัฐสภา เพื่อเปิดเวทีอภิปรายทั่วไปเกี่ยวกับปัญหาไทย-กัมพูชา ซึ่งได้พูดคุยกับพรรคร่วมฝ่ายค้านแล้วว่า เรื่องนี้เป็นประเด็นสำคัญ เนื่องจากสถานการณ์ยังไม่นิ่ง โดยตนเองเพิ่งเดินทางกลับจากพื้นที่ร่วมกับผู้สังเกตการณ์ผู้ช่วยทูต 8 ประเทศ พบว่ายังมีการปะทะกันอยู่ ทำให้เห็นว่ายังไม่สามารถนำไปสู่สันติภาพได้ ดังนั้น การอภิปรายในสภาหรือหากนายกรัฐมนตรีกลับมาปฏิบัติหน้าที่ก็มีความจำเป็นที่จะต้องมีการอภิปรายไม่ไว้วางใจตามมาตรา 151 ทันที เพราะเรื่องนี้ถือเป็นประเด็นสำคัญ
เมื่อถามว่า หลังรับหนังสือแล้วขั้นตอนต่อไปจะเป็นอย่างไร นายกัณวีร์ กล่าวว่า ขั้นตอนต่อจากนี้จะต้องนำไปพูดคุยกับพรรคร่วมฝ่ายค้าน เพื่อหารือว่าจะเดินหน้าต่อไปอย่างไร โดยต้องประเมินสถานการณ์ในหลายเรื่อง โดยเฉพาะคดีคำพิพากษาของนายกรัฐมนตรี ซึ่งต้องมีการพิจารณาอย่างรอบคอบต่อไป สำหรับท่าทีของพรรคเป็นธรรมต่อการยกเลิก MOU 43-44 นั้น ตนเองมีจุดยืนชัดเจน โดยเห็นว่าการเจรจาเป็นสิ่งสำคัญที่สุด ปัญหาระหว่างไทยและกัมพูชาควรใช้การเจรจาเป็นกลไกหลักไม่สามารถใช้การทหารได้ ดังนั้น MOU จึงเป็นหนึ่งในกลไกสำคัญที่จะทำให้ทั้งสองประเทศสามารถพูดคุยกันได้ เนื่องจากมีการทำข้อตกลงร่วมกันไว้แล้ว
เมื่อถามว่าการพิจารณาในที่ประชุมสภาเกี่ยวกับการยกเลิก MOU 43-44 นายกัณวีร์ กล่าวว่า ตนเองจะร่วมอภิปรายแน่นอน หากมีการเสนอให้ยกเลิก ก็ต้องให้เหตุผล และแสดงให้เห็นถึงความจำเป็น เพราะตนเองเห็นว่า MOU ทั้ง 2 ฉบับ ยังมีส่วนดี ที่ทำให้ทั้ง 2 ฝ่ายสามารถกลับมาพูดคุยกันได้ หากยกเลิก MOU ทั้ง 2 ฉบับแล้ว ต้องตอบให้ได้ว่าจะใช้ MOU ฉบับใดมาทดแทน หากมีการจัดทำฉบับใหม่ถือเป็นเรื่องดี แต่หากไม่มีข้อตกลงใดมารองรับ ตนเห็นว่าไม่สมควรยกเลิก
ทั้งนี้ นายกัณวีร์ ยังกล่าวถึงท่าทีของรัฐบาล ว่า ขณะนี้ยังไม่เห็นท่าทีที่ชัดเจนรัฐบาลยังคงเงียบ มีเพียงรักษาการนายกรัฐมนตรีที่ออกมาพูดอยู่คนเดียว แม้สถานการณ์โดยรวมจะอยู่ในช่วงที่ควบคุมได้ แต่ในพื้นที่จริงประชาชนจำนวนมากที่อพยพออกมายังไม่สามารถกลับไปอยู่บ้านของตนเองได้ เนื่องจากมีความหวาดกลัวต่อสถานการณ์ ซึ่งสิ่งที่ควรทำคือการนำข้อเท็จจริงมาพูดกัน และรัฐบาลควรแสดงท่าทีที่ชัดเจนเพราะจนถึงตอนนี้ยังไม่ได้ยินเสียงจากประชาชนในพื้นที่มากนัก