ปูตินจ่อเสนอ 'ดีลเศรษฐกิจ' กับทรัมป์ จับตาประชุมยุติสงครามยูเครนวันนี้
เว็บไซต์เดอะการ์เดียนรายงานว่า ในการประชุมสุดยอดระหว่าง ประธานาธิบดีสหรัฐ โดนัลด์ ทรัมป์ และประธานาธิบดีรัสเซีย วลาดิมีร์ ปูติน ที่อลาสกา ในวันศุกร์นี้ตามเวลาในสหรัฐ เพื่อหารือเรื่องการยุติ "สงครามรัสเซีย-ยูเครน" ที่ยืดเยื้อมาถึง 3 ปีนั้น ปูตินวางแผนที่จะใช้ "ข้อเสนอด้านเศรษฐกิจ" เป็นหนึ่งในข้อเจรจาเพื่อดึงดูดให้ทรัมป์โน้มเอียงมาทางรัสเซียมากกว่ายูเครน
การประชุมสุดยอดที่จัดขึ้นอย่างเร่งรีบตามคำขอของปูติน จะเป็นการพบกันครั้งแรกระหว่างผู้นำสหรัฐและรัสเซียบนแผ่นดินอเมริกา นับตั้งแต่ที่ปูตินไปเยือนสหรัฐในยุคอดีตประธานาธิบดี จอร์จ ดับเบิลยู บุช ในปี 2550
ข่าวการประชุมสุดยอดที่น่าประหลาดใจครั้งนี้ทำให้ทั้งยูเครนและชาติพันธมิตรยุโรปตั้งตัวไม่ทัน แต่สำหรับปูตินแล้ว การประกาศดังกล่าวถือเป็นสัญญาณแห่ง "ชัยชนะทางการทูตเบื้องต้น" นั่นคือการได้พบกับทรัมป์โดยไม่ต้องผ่อนปรนเงื่อนไขใดๆ และเป็นก้าวสำคัญสู่เป้าหมายในการตัดสินใจอนาคตของยูเครนที่โต๊ะเจรจากับวอชิงตัน
กุญแจสำคัญของฝั่งปูตินในวันศุกร์นี้ก็คือ "การดึงดูดสัญชาตญาณทางธุรกิจของทรัมป์" โดยเมื่อวันที่ 14 ส.ค. ยูริ อูชาคอฟ ที่ปรึกษาประธานาธิบดีรัสเซียได้เปิดเผยว่า ปูตินจะหารือถึง "ศักยภาพมหาศาลที่ยังไม่ได้ถูกใช้ประโยชน์" ในความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจระหว่างรัสเซียและสหรัฐ
อูชาคอฟกล่าวว่า “คาดว่าจะมีการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นเกี่ยวกับการพัฒนาความร่วมมือทวิภาคีต่อไป ซึ่งรวมถึงในด้านการค้าและเศรษฐกิจ” และเสริมว่า “ความร่วมมือนี้มีศักยภาพมหาศาล และน่าเสียดายที่จนถึงขณะนี้ยังไม่ได้ถูกใช้ประโยชน์”
จุดที่น่าสังเกตคือ ปูตินได้นำที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจที่มีชื่อเสียงสองคนมาร่วมกับนักการทูตอาวุโสในการเจรจาเรื่องยุติสงครามครั้งนี้ด้วย โดยเฉพาะรัฐมนตรีคลัง อันตอน ซิลูอานอฟ ซึ่งถือเป็นเรื่องที่น่าจับตามองเป็นพิเศษ โดยรมว.คลังคนนี้เป็นผู้นำในการตอบโต้มาตรการคว่ำบาตรของชาติตะวันตก และรัสเซียเองได้กำหนดเงื่อนไขสำคัญในการถอนมาตรการคว่ำบาตรนี้มาโดยตลอด
“ปูตินมองว่านี่เป็นโอกาสที่จะแสดงให้ทรัมป์เห็นว่าเขาพร้อมที่จะยอมรับสันติภาพ หากเงื่อนไขต่างๆ เหมาะสม เขาต้องการแสดงให้เห็นว่าเซเลนสกี เป็นผู้ยืดเยื้อสงคราม” อดีตเจ้าหน้าที่ระดับสูงของเครมลินรายหนึ่งที่ไม่เปิดเผยชื่อกล่าว
“ปูตินรู้ว่าทรัมป์มองโลกผ่านมุมมองทางธุรกิจ และจะนำเสนอสันติภาพตามเงื่อนไขของเขาในฐานะประตูสู่โอกาสอันมั่งคั่ง” แหล่งข่าวรายนี้ระบุ
ด้านนักวิชาการชาวรัสเซียรายหนึ่งที่ใกล้ชิดกับกระทรวงต่างประเทศ เปิดเผยว่า หากการเผชิญหน้ากันในอดีตระหว่างผู้นำทั้งสองเป็นเครื่องที่บ่งชี้ได้ ปูติน ซึ่งเป็นอดีตสายลับเคจีบี อาจเป็นผู้ที่ได้เปรียบในการประชุมสุดยอดวันนี้
“ทรัมป์เป็นผู้นำแบบที่ปูตินเชื่อว่าสามารถบรรลุข้อตกลงได้เสมอ เขาเป็นผู้นำเผด็จการในแบบเดียวกับ เรเจป เตย์ยิป เออร์โดกัน (ตุรกี), สี จิ้นผิง (จีน) หรือนเรนทรา โมดี (อินเดีย)”
ด้านบรรดานักวิเคราะห์และคนวงในระบุว่า การประชุมสุดยอดครั้งนี้มีขึ้นหลังจากที่เคยมีการเจรจาระหว่างรัสเซียและยูเครน ในตุรกี ที่ดำเนินมาหลายสัปดาห์แต่กลับไร้ผล ส่วนในรอบนี้จัดขึ้นในกรอบเวลาที่สั้นเกินไปจนอาจจะไม่สามารถบรรลุผลที่เป็นรูปธรรมได้