PTT มั่นใจครึ่งปีหลังฟื้น รุกขยายธุรกิจ LNG-Life Science หนุนโตยั่งยืน
นายธนพล ประภาพันธ์ ผู้จัดการฝ่ายผู้ลงทุนสัมพันธ์ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) หรือ PTT เปิดเผยข้อมูลภาพรวมธุรกิจของบริษัทผ่านงาน (Opportunity Day) จัดโดย ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) เมื่อวันที่ 22 สิงหาคม 2568 ระบุว่า บริษัทมีกำไรสุทธิงวดไตรมาส 2 ปี 2568 อยู่ที่ 21,532.88 ล้านบาท ส่วนผลการดำเนินงานงวด 6 เดือนแรก ปี 2568 มีกำไรสุทธิ 44,848.37 ล้านบาท
ขณะที่ ทิศทางการดำเนินธุรกิจครึ่งหลังปี 2568 ธุรกิจ LNG Value Chain บริษัทมีเป้าหมายในการสร้างการเติบโต LNG ตลอดห่วงโซ่อุปทาน โดยมุ่งขยายพอร์ตโฟลิโอ LNG ให้มีปริมาณ 10 ล้านตันต่อปีภายในปี 2030 และเพิ่มเป็น 15 ล้านตันต่อปีภายในปี 2035 ซึ่งมีแนวทางการดำเนินงานที่เน้น 3 องค์ประกอบสำคัญ ได้แก่
1.) การเพิ่มปริมาณการค้าของ LNG 2.) การกระจายโอกาสทางการค้าให้ครอบคลุมหลายตลาด และ 3.) การสร้างความยืดหยุ่นของสัญญาและเงื่อนไขทางธุรกิจ นอกจากนี้ ในส่วนของธุรกิจกลุ่ม Petrochemical & Refinery (P&R) นั้นบริษัทมีการปรับโครงสร้างธุรกิจ ปัจจุบันอยู่ระหว่างแผนเจรจากับพันธมิตรที่มีศักยภาพร่วมเสริมสร้างธุรกิจ ซึ่งจะคัดเลือกและทราบผลช่วงครึ่งหลังปี 2568
สำหรับธุรกิจNon-Hydrocarbon อาทิ Life Science บริษัทมุ่งเน้นการร่วมมือกับพันธมิตรที่มีความเชี่ยวชาญ เพื่อสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืนและพึ่งพาตนเอง พร้อมแผน เสนอขายหุ้นต่อประชาชน (IPO) ในช่วงปี 2573 (2030) ขึ้นไป ขณะที่ การดำเนินธุรกิจใหม่(New Venture) มีการปรับลงทุนให้สอดคล้องกับทิศทางเดียวกันทั้งกลุ่ม พร้อมมุ่งเน้นความยั่งยืน ผ่านการพัฒนาเทคโนโลยีด้าน AI
ด้านแผนการดำเนินงานเพื่อสร้างการเติบโตระยะยาวนั้น บริษัทขอ ยกตัวอย่าง แผนธุรกิจด้านไฮโดรเจน (Hydrogen) และแอมโมเนีย (NH₃) โดยบริษัทได้จัดทำแผนธุรกิจ Business Roadmap แล้วเสร็จในปี 2568 และภายในปี 2573 (ค.ศ. 2030) บริษัทมีเป้าหมายสร้างเครือข่ายการจัดหาและโครงสร้างพื้นฐาน รวมถึงทดลองนำแอมโมเนียมาใช้เป็นเชื้อเพลิงร่วม (co-firing) ในโรงไฟฟ้าถ่านหิน
นางสาวจิตรเรขา พึ่งพักตร์ ผู้จัดการส่วนผู้ลงทุนสัมพันธ์ PTT กล่าวเสริมว่าจากข้อมูล IMF ประเมินแนวโน้มเศรษฐกิจโลกในปีนี้ขยายตัวอยู่ที่ระดับ 3% ซึ่งลดลงจากการคาดการณ์เดิมที่คาดว่าจะขยายตัว 3.3% ซึ่งเป็นผลมาจากนโยบายการปรับขึ้นภาษีนำเข้าของสหรัฐฯรวมถึง ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ในหลายภูมิภาคที่อาจยืดเยื้อ ยังคงเป็นปัจจัยเสี่ยงที่กดดันการขยายตัวของเศรษฐกิจโลก ขณะที่ปัจจัยสนับสนุน คือจากการค้าโลกที่แข็งแกร่ง หลายประเทศได้เร่งการนำเข้าและส่งออกสินค้าก่อนที่ ภาษีการนำเข้าของสหรัฐจะมีผลบังคับใช้
ทั้งนี้ หากมองที่ราคาก๊าซธรรมชาติ อาทิ Henry Hub ของสหรัฐฯ ปี 2568 คาดว่าจะปรับเพิ่มขึ้นมาอยู่ในช่วง 3.5-4 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อ MMBTU สาเหตุจากการที่สหรัฐฯ มีการส่งออก LNG เพิ่มขึ้น ส่งผลให้ปริมาณก๊าซในประเทศลดลง ขณะเดียวกัน ความต้องการใช้ก๊าซภายในสหรัฐฯ เองก็มีแนวโน้มสูงขึ้นในปีนี้
ส่วนตลาด Asian Spot LNG คาดว่าจะปรับตัวเพิ่มขึ้นราว 9% โดยมีราคาเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 12-14 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อ MMBTU จากความต้องการที่เพิ่มขึ้นของ ประเทศอียิปต์ หลังจากปริมาณการผลิตก๊าซภายในประเทศลดลง อีกทั้งมีปัจจัยกดดันจากข่าวสหรัฐเตรียมเรียกเก็บภาษีนำเข้าก๊าซสำหรับประเทศที่ยังดำเนินการค้าขายกับรัสเซีย
อย่างไรก็ตาม ตลาดยังมีปัจจัยกดดัน โดยเฉพาะจีนที่อาจลดการนำเข้า LNG จากการพึ่งพาการผลิตในประเทศและการนำเข้าผ่านท่อก๊าซธรรมชาติมากขึ้น รวมถึงยุโรปที่ผ่อนปรนมาตรการเติมก๊าซสำรอง ทำให้ความต้องการนำเข้าลดความเข้มงวดลง
ขณะที่ทิศทาง ราคาน้ำมันดิบดูไบ และผลิตภัณฑ์น้ำมันสำเร็จรูป มีแนวโน้มปรับตัวลดลงจากปีก่อน โดยราคาดูไบคาดว่าจะเคลื่อนไหวอยู่ในช่วง 65-75 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อบาร์เรล สาเหตุหลักมาจากความไม่แน่นอนและความตึงเครียดทางการค้าจากมาตรการภาษีตอบโต้ของสหรัฐฯ รวมถึงอุปทานที่เพิ่มขึ้นจากกลุ่มโอเปกพลัส
นางสาวจิตรเรขา ผู้จัดการส่วนนักลงทุนสัมพันธ์ PTT ยังได้กล่าวถึงรายละเอียดแนวโน้มผลการดำเนินงานรายธุรกิจ โดยระบุว่าในส่วนของธุรกิจพลังงาน ยกตัวอย่าง บริษัท ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) หรือ PTTEP คาดว่าปริมาณขายเฉลี่ยจะปรับเพิ่มขึ้น หลักๆ มาจากแหล่งผลิตในประเทศ ได้แก่ แหล่งเอราวัณ และการเพิ่มกำลังการผลิตของโครงการอาทิตย์ CCS ทั้งนี้ ต้นทุนต่อหน่วย (unit cost) น่าจะยังอยู่ในระดับที่สามารถแข่งขันได้ ขณะที่ ราคาเฉลี่ยการขายมีแนวโน้มปรับลดลงตามทิศทางราคาน้ำมันในตลาดโลก
ธุรกิจก๊าซ คาดว่าต้นทุนรวมจะปรับลดลงตามราคาก๊าซสปอตที่มีแนวโน้มลดลง ขณะเดียวกัน กำลังการผลิตมีสัญญาณฟื้นตัวจากปริมาณก๊าซในอ่าวไทยที่เพิ่มขึ้น อย่างไรก็ตาม ธุรกิจยังอาจได้รับผลกระทบด้านลบจากการเปิดเสรีตลาดก๊าซ และการแข่งขันที่เกิดจากการนำเข้า LNG ของผู้ประกอบการรายใหม่ (New Shipper)
กลุ่มธุรกิจปิโตรเคมี-การกลั่น คาดว่าสถานการณ์ส่วนต่างราคาผลิตภัณฑ์ (spread) จะปรับลดลง จากการมีอุปทาน (Supply) ใหม่เข้าสู่ตลาด ซึ่งกดดันระดับราคา ประกอบกับความต้องการปลายทางที่ยังคงอ่อนแอ
ธุรกิจน้ำมัน คาดว่าปริมาณขายจะปรับเพิ่มขึ้น เนื่องมาจากปัจจัยสนับสนุน ธุรกิจสไตล์ ที่มีโปรโมชั่นดึงดูดมากขึ้น ขณะเดียวกัน กลุ่มธุรกิจไฟฟ้า อาทิ บริษัท โกลบอล เพาเวอร์ ซินเนอร์ยี่ จำกัด (มหาชน) หรือ GPSC คาดว่าราคาพลังงานมีแนวโน้มปรับลดลงสอดคล้องกับค่า FT ที่ลดลง ทั้งนี้ บริษัทยังคาดการณ์ว่าจะมีส่วนแบ่งกำไรจากบริษัทร่วมที่เพิ่มขึ้น
นายธนพล ผู้จัดการฝ่ายลูกค้าสัมพันธ์ PTT กล่าวเสริมว่า แนวโน้มผลการดำเนินงานของ PTT ในครึ่งหลังปี 2568 อย่างที่คุณจิตรเรขา กล่าวไปเบื้องต้น ผลดำเนินงานขึ้นอยู่กับปัจจัยด้านราคาผลิตภัณฑ์ในตลาดโลก ซึ่งคาดว่าราคาน้ำมันจะปรับตัวลดลงเล็กน้อย สำหรับราคาปิโตรเคมี ยังอยู่ภายใต้แรงกดดันจากอุปทานใหม่ที่จะเข้าสู่ตลาด อย่างไรก็ตาม บริษัทได้เริ่มดำเนินมาตรการสนับสนุนราคา เช่น การจำกัดการผลิต ซึ่งจะช่วยประคับประคองระดับราคาได้
ทั้งนี้ หากราคาน้ำมันยังคงทรงตัวเช่นเดียวกับครึ่งปีแรก อาจมีผลบวกจากสต็อกน้ำมันที่ครึ่งปีแรกมีกำไรจากการถือครองสต็อก (stock gain) ลดลง หรือไม่มีสต็อกขาดทุนเกิดขึ้น สำหรับธุรกิจก๊าซ ในช่วงครึ่งปีหลังยังคงมีแนวโน้มเชิงบวก แม้ปริมาณการขายอาจปรับลดลงตามปัจจัยฤดูกาล
“หากถามถึงประเด็นแผนเพิ่มกระแสเงินสด 100,000 ล้านบาท และโครงการ EBITDA uplift ทาง PTT ได้ดำเนินมาตรการเสริมความแข็งแกร่งภายในองค์กรตามแผนโครงการสำคัญ เพื่อยกระดับผลการดำเนินงานและสร้างความสามารถในการแข่งขันของบริษัทในทุกมิติ” นายธนพล กล่าว
โดยหนึ่งในแนวทางสำคัญคือโครงการ Asset Monetization (A1) ซึ่งมุ่งบริหารทรัพย์สินให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อกลุ่มบริษัท เพิ่มประสิทธิภาพการจัดการทรัพย์สิน (Asset Organization) และสร้าง Synergy รวมถึงปรับโครงสร้างทรัพย์สินให้เหมาะสม เป้าหมายของแผนนี้คือสร้างกระแสเงินสดประมาณ 100,000 ล้านบาทในช่วง 2 ปีข้างหน้า โดยโครงการหลักจะเน้นการปรับโครงสร้างในธุรกิจต่าง ๆ เช่น ธุรกิจ EV, Infrastructure, Downstream และ Power เป็นต้น