29 สิงหา ศาลรัฐธรรมนูญชี้ขาด “แพทองธาร” ตัวแปรการเมืองไทย
สัปดาห์สุดท้ายของเดือนสิงหาคม 2568 ไม่ใช่ช่วงเวลาธรรมดา แต่เป็นห้วงเวลาสำคัญของทางการเมืองไทยที่กำลังเข้าสู่จุดพีค
เมื่อศาลรัฐธรรมนูญเตรียมอ่านคำวินิจฉัยชี้ชะตานางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรีคนปัจจุบัน ผลลัพธ์มีเพียงสองทาง “รอด” หรือ “ไม่รอด” และอาจส่งแรงกระเพื่อมไปถึงรัฐบาล พันธมิตร บางส่วนของภาคธุรกิจ รวมถึงตลาดทุนที่รอดูทิศทาง
เมื่อวันที่ 21 สิงหาคมที่ผ่านมา นางสาวแพทองธาร ขึ้นให้การไต่สวนพยาน ในคดีคลิปเสียงสนทนากับ สมเด็จฮุน เซน ประธานวุฒิสภากัมพูชา หลังสมาชิกวุฒิสภา (สว.) 36 คนยื่นคำร้อง วันเดียวกันศาลประกาศเลื่อนวันยื่นคำแถลงปิดคดีเร็วขึ้น จาก 27 สิงหาคม เป็น 25 สิงหาคม และกำหนดอ่านคำวินิจฉัย 29 สิงหาคมนี้ เวลา 15:00 น.
ไม่ใช่แค่ผลลัพธ์ที่หลายคนรอ แต่ “ตัวเลขเสียง” มติครั้งนี้ เช่น 5 ต่อ 4 หรือ 7 ต่อ 2 ก็เป็นประเด็นที่หลายฝ่ายสนใจอย่างมีนัยสำคัญ
ขณะเดียวกัน กระแสข่าวว่านางสาวแพทองธาร อาจ “ลาออกก่อนวันชี้ขาด” ยังคงปรากฏเป็นระยะในแวดวงการเมือง อย่างไรก็ตาม แกนนำพรรคเพื่อไทย อาทิ นพ.พรหมมินทร์ เลิศสุริยเดช เลขาธิการนายกรัฐมนตรี, นายวิสุทธิ์ ไชยณรุณ ประธานวิปรัฐบาล และนายสรวงศ์ เทียนทอง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ในฐานะเลขาธิการพรรคเพื่อไทย ต่างยืนยันตรงกันว่า เรื่องนี้ “จะไม่เกิดขึ้น”
ขณะที่ นายประเสริฐ จันทรรวงทอง รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม แสดงความเชื่อมั่นว่าจะมี “ข่าวดี” ในวันศุกร์นี้
บรรยากาศการเมืองไทยขณะนี้เต็มไปด้วยการคาดเดา หลายฝ่ายพยายามอ่านเกมล่วงหน้า ว่าผลลัพธ์จะพาไปทางไหน
หาก “รอด” นางสาวแพทองธาร จะกลับมาทำหน้าที่นายกรัฐมนตรีทันที และอาจปรับคณะรัฐมนตรี (ครม.) ครั้งใหญ่เพื่อเร่งฟื้นความเชื่อมั่น และอาจได้เห็นภาพพรรคภูมิใจไทยที่ถอนตัวไป กลับเข้าร่วมรัฐบาล?
แต่หากผลออกมาเป็นลบ นางสาวแพทองธาร และครม. จะสิ้นสุดตำแหน่งทันที ขณะที่สภาผู้แทนราษฎรยังคงอยู่ โดยนายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานสภาฯ ต้องเรียกประชุมสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สส.) เพื่อเลือกนายกรัฐมนตรีคนใหม่ ซึ่งหลายฝ่ายมองว่าอาจเป็นเพียง “นายกฯ ชั่วคราว” ก่อนยุบสภาและจัดการเลือกตั้งใหม่ภายในกลางปี 2569
สำหรับรายชื่อที่เป็นแคนดิเดตที่เหลือ ได้แก่ นายชัยเกษม นิติสิริ (เพื่อไทย), นายอนุทิน ชาญวีรกูล (ภูมิใจไทย), พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา (องคมนตรี),นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค (รวมไทยสร้างชาติ) และนายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ (ประชาธิปัตย์)
สื่อต่างประเทศก็ไม่พลาด รอยเตอร์ส (Reuters) วิเคราะห์ไว้ว่า คำตัดสินครั้งนี้อาจเป็นอีกหนึ่งจุดเปลี่ยนสำคัญ อาจนำไปสู่การเลือกตั้งใหม่ พร้อมชี้ว่าพรรคเพื่อไทยยังเผชิญโจทย์ด้านภาพลักษณ์และการแข่งขันทางการเมืองในเวลานี้
ฝั่งตลาดหุ้นไทยก็ติดตามใกล้ชิด แม้การเมืองอาจไม่สั่นคลอนปัจจัยพื้นฐานโดยตรง แต่ “sentiment” คือสิ่งที่ตลาดตอบสนองไว เช่น เมื่อวันที่ 22 สิงหาคม หลังศาลอาญายกฟ้องคดีมาตรา 112 และพ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ของอดีตนายกฯ ทักษิณ ชินวัตร ดัชนี SET Index ปิดที่ 1,253.39 จุด บวกไป 8.60 จุด (+0.69%) มูลค่าการซื้อขาย 37,999.28 ล้านบาท
นายวทัญ จิตต์สมนึก ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์กลยุทธ์ บริษัทหลักทรัพย์ พาย จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า หนึ่งในปัจจัยที่หนุนตลาดคือบรรยากาศการเมืองที่ผ่อนคลาย หลังคำพิพากษายกฟ้องอดีตนายกฯ ทักษิณ
ขณะเดียวกัน บริษัทหลักทรัพย์ ฟิลลิป (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ระบุใน Weekly Spotlight (25–29 ส.ค.68) ว่า ความกังวลด้านการเมืองและความล่าช้างบประมาณภาครัฐยังเป็นแรงกดดัน แต่แรงพยุงจากภาคส่งออกช่วยประคองตลาด คาดกรอบดัชนี 1,220–1,270 จุด และแนะนำให้นักลงทุนพิจารณาหุ้น Defensive หุ้นส่งออก และหุ้นที่มีวิสัยทัศน์ในงาน Thailand Focus 27–29 สิงหาคมนี้
อย่างไรก็ดี การวินิจฉัยในคดีแพทองธาร อาจเป็นเพียงจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลง เพราะยังมีคดีสำคัญของตระกูลชินวัตรที่รออยู่
โดยเฉพาะคดีบังคับโทษหรือ “คดีชั้น 14” ซึ่งศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง มีคำสั่งให้อดีตนายกฯ ทักษิณ เข้าฟังคำสั่งศาลในวันที่ 9 กันยายน 2568 เวลา 10:00 น. รวมทั้งยังมีปัญหาชายแดนไทย–กัมพูชา และแรงกดดันทางเศรษฐกิจที่ต้องเร่งแก้
ดังนั้น สัปดาห์นี้จึงไม่ใช่เพียงการชี้ชะตาของผู้นำคนหนึ่ง แต่เป็นบททดสอบใหญ่ของพรรคเพื่อไทย และภาพสะท้อนของระบบการเมืองไทย ว่าจะก้าวผ่านแรงเสียดทานและสร้างความเชื่อมั่นได้หรือไม่
ผลของวันที่ 29 สิงหาคมนี้จะไม่เพียงถูกจับตาในประเทศ แต่ยังเป็นสัญญาณที่ต่างชาติมองว่า ประเทศไทยพร้อมเดินหน้าสู่ความมั่นคงแค่ไหนในปีที่ท้าทายนี้
อ้างอิง : Thailand's Shinawatra dynasty faces triple court test that could upend politics