คุยกับ ‘พฤกษา โฮลดิ้ง’ ตลาดอสังหาฯ เปลี่ยน แบรนด์ต้องกระจายความเสี่ยง
ปัจจุบันตลาดอสังหาริมทรัพย์ไม่ได้หวือหวาเหมือนเมื่อก่อน เนื่องจากปัญหาเศรษฐกิจที่ซบเซา กำลังซื้อผู้บริโภคลดลง รวมถึงเทรนด์การอยู่อาศัยที่เริ่มเปลี่ยนไป อย่างคนรุ่นใหม่ก็เน้นเช่ามากกว่าซื้อ ขณะที่คนมีกำลังซื้อก็เป็นกลุ่มระดับบน ทำให้แบรนด์อสังหาฯ หลายรายต้องปรับพอร์ตธุรกิจ ทั้งเปิดตลาดอสังหาฯ ในเซกเมนต์ใหม่ๆ ตอบรับเทรนด์ ไปจนถึงลงทุนในอุตสาหกรรมอื่นๆ เพื่อกระจายความเสี่ยง
อย่างกรณีของ ‘พฤกษา โฮลดิ้ง’ จากที่ช่วงอสังหาริมทรัพย์บูม ก็เคยมีรายได้สูงถึง 50,000 ล้านบาท ก่อนจะลดลงเหลือ 30,000 ล้านบาท โดยที่บริษัทก็เริ่มกลยุทธ์ปรับพอร์ตให้ครอบคลุมธุรกิจอื่นๆ มากขึ้น
TODAY Bizview ได้พูดคุยกับ ‘ปัทมา ปิยะมณีพร’ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม บริษัท พฤกษา โฮลดิ้ง จำกัด (มหาชน) ถึงแผนการปรับพอร์ตของพฤกษา โฮลดิ้งในวันที่ตลาดอสังหาฯ ซบเซาเป็นอย่างไร?
[ ตลาดอสังหาฯ ช่วงหวือหวา รายได้พฤกษาเคยแตะ 50,000 ล้าน ]
‘ปัทมา’ เล่าให้ฟังว่า ตลาดอสังหาริมทรัพย์ ณ ขณะนี้ อยู่ในภาวะซบเซาและไม่ได้เติบโตเหมือนในอดีต ปัญหาเศรษฐกิจหนักหน่วง ส่งผลให้กำลังซื้อผู้บริโภคลดลง รายได้ไม่แน่นอน นำไปสู่ปัญหาการกู้สินเชื่อไม่ผ่าน ประกอบกับการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของผู้บริโภค คนรุ่นใหม่นิยมการเช่ามากขึ้น ไม่ต้องการเป็นเจ้าของทรัพย์สิน ทำให้บริษัทจากที่เคยมีรายได้สูงๆ ถึง 50,000 ล้านบาท ต้องปรับพอร์ตการลงทุนขยายไปส่วนอื่นมากขึ้น
ซึ่ง 2-3 ปีที่ผ่านมาพฤกษาเคยมีการลงทุนในธุรกิจอื่นๆ ค่อนข้างมาก ด้วยมูลค่ากว่า 10,000 ล้านบาท ด้วยหลักการลงทุนคือต้องเกี่ยวข้องกับธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ เช่น กองทุน Corporate Venture Capital (CVC) และ กองทุนต่างประเทศบางส่วน ที่เน้นด้านเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจหลัก อย่าง Health Tech และ Real Estate โดยประเทศที่โฟกัสหลักคือ สิงคโปร์ โดยอาศัยความได้เปรียบจากการมีพาร์ทเนอร์อยู่
[ กลับมาโฟกัสอสังหาริมทรัพย์ ขยายเซกเมนต์เจาะกลุ่มคนชนชั้นกลาง-หรู ]
ปัจจุบันพฤกษาได้ปรับทิศทางการทำธุรกิจอีกครั้ง โดยไม่ได้เพิ่มเม็ดเงินลงทุนใหม่ในพอร์ตลงทุนต่างประเทศ แต่จะคงสัดส่วนเดิมที่มีอยู่ พร้อมทั้งพิจารณาขายการลงทุนในกองทุนบางประเภท หากไม่ขาดทุนและไม่กระทบฐานะการเงินมากนัก
พร้อมหันกลับมาโฟกัสอสังหาริมทรัพย์ที่เป็นธุรกิจหลักของเครือ โดยพฤกษาจะขยับเซกเมนต์อสังหาริมทรัพย์ จากเดิมที่เน้นสินค้ากลุ่มราคาไม่แพงอยู่ที่ 1-3 ล้านบาท ปัจจุบันได้ขยับสัดส่วนสินค้าไปสู่กลุ่ม Mid-to-Mid-High ราคา 3–5 ล้านบาทมากขึ้น รวมถึงกลุ่ม High-End โดยจุดเด่นของโครงการพฤกษาจะอยู่ที่ศักยภาพของทำเล
สำหรับลูกค้าตลาด High-End เตรียมเปิดโครงการ The Reserve สุขุมวิท 89 ปลายปีนี้ เป็นครั้งแรกที่จะนำแบรนด์ The Reserve กลับมาทำในรูปแบบบ้านวิลล่าหรู ในเมือง บนที่ดินประมาณ 5 ไร่ มีเพียง 20 กว่าหลัง โดยเลือกทำเลที่หายากและมีศักยภาพสูง คาดว่าราคาจะอยู่ประมาณ 50-60 ล้านบาทขึ้นไป พร้อมเพิ่มช่องทางขายผ่านเอเจนซี่ทั้งในและต่างประเทศ
[ รับเทรนด์คนเช่ามาแรง ทำตึกให้คนเช่าราคาไม่เกิน 5,000 ]
“บริษัทเห็นเทรนด์คนเช่ามาแรง อาจเป็นเพราะเทรนด์ที่ไม่ต้องการเป็นเจ้าของสินทรัพย์ (Asset-light) และส่วนหนึ่งมาจาก ข้อจำกัดในการกู้ซื้อบ้าน ทางพฤกษาเลยมีโครงการสร้างเพื่อเช่า Build to Rent โครงการนี้จะเน้นไปที่ห้องเช่าในกลุ่มราคาที่ไม่สูงมากนัก ทำเลส่วนใหญ่ก็จะใกล้โรงงาน โดยมีเป้าหมายราคา ไม่เกิน 5,000 บาทต่อเดือน” ปัทมา กล่าว
โดยโครงการนี้จะมีเป้าหมายในระยะยาวที่อยู่ที่ 10,000 ห้อง ตึกแรกคาดว่าจะแล้วเสร็จในช่วงไตรมาส 4 ที่จะถึงนี้ แต่รายละเอียดที่แน่ชัดจะถูกประกาศในภายหลัง
ซึ่งโครงการอสังหาริมทรัพย์ทั้งหมดของแบรนด์ จะเซฟต้นทุนการก่อสร้างผ่านใช้ทีมก่อสร้างในเครือเอง ทำให้ต้นทุนสามารถแข่งขันได้ และปรับราคาให้เหมาะสมกับตลาด
นอกจากนี้ ยังเสริมแกร่งด้วย Pruksa Pass เป็นหนึ่งในโมเดลธุรกิจใหม่ที่บริษัทกำลังดำเนินการ ซึ่งมีลักษณะคล้ายกับ Rent-to-Own ครอบคลุมทั้ง ลูกค้าเก่าที่ผ่อนดาวน์อยู่ และต้องการการแก้ไขเคส รวมถึงลูกค้าใหม่ที่ Walk-in เข้ามา แต่ยังไม่พร้อมที่จะกู้ในขณะนั้น แต่แสดงความสนใจที่จะซื้อในอนาคต
โดยพฤกษาจะช่วยแก้เคสสำหรับคนที่กู้ผ่านยาก แบรนด์ให้ผ่อนจ่ายเหมือนเป็นการเช่าปกติ และถ้าสถานะทางการเงินหรือความพร้อมของลูกค้าดีขึ้น การชำระเงินในช่วงแรก ซึ่งค่าเช่าสามารถเปลี่ยนเป็นเงินดาวน์ได้ เพื่อให้ลูกค้าสามารถไปยื่นกู้กับธนาคารต่อไป
ไม่เพียงเท่านี้ สำหรับธุรกิจรับสร้างบ้านของพฤกษาจะขยายจากงานในเครือสู่ตลาดภายนอกด้วย ทั้ง B2B และ B2C ปัจจุบันมีลูกค้ากว่า 480 หลัง และตั้งเป้าเพิ่มเป็น 1,000–1,500 หลังต่อปี มูลค่าสัญญาเฉลี่ย 10–30 ล้านบาทต่อโครงการ โดยผนวกบริการ Pruksa Pass เพื่อให้ลูกค้าเข้าถึงโซลูชันทางการเงินที่ยืดหยุ่นขึ้น
สำหรับธุรกิจก่อสร้างและวัสดุ ยังได้พัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ จากเดิมที่ผลิตเฉพาะผนังได้ขยายสู่ เสา คาน และวัสดุก่อสร้างอื่นๆ อย่างครบวงจรเพื่อใช้ประโยชน์จากศักยภาพการผลิตของโรงงานให้เต็มที่ โดยคาดว่าสัดส่วนผลิตภัณฑ์เหล่านี้จะเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
[ ต่อยอดโรงพยาบาลวิมุต ลงทุน 1,200 ล้าน เปิดศูนย์กระดูก ]
สำหรับโรงพยาบาลวิมุต เป็นอีกหนึ่งในธุรกิจหลักที่พฤกษาให้ความสำคัญและเป็นส่วนหนึ่งของกลยุทธ์ในการสร้างรายได้ประจำ ในปีนี้มีการเปิดศูนย์เฉพาะทางเพิ่มขึ้น เช่น ศูนย์ปอด ศูนย์หัวใจ และศูนย์กระดูก
โดยเฉพาะศูนย์กระดูกที่แยกออกมาเป็นอีกโรงพยาบาลหนึ่ง ด้วยงบลงทุนกว่า 1,200 ล้านบาท คาดการณ์เปิดให้บริการในปี 2027 จุดแข็งคือมีแพทย์ที่มีชื่อเสียงมาจากโรงพยาบาลชั้นนำและจะช่วยส่งต่อเคสจากโรงพยาบาลอื่นมายังโรงพยาบาลวิมุตได้
พร้อมขยายกลุ่มลูกค้าโดยพยายามเข้าถึงกลุ่มลูกค้าพรีเมียมมากขึ้น ผ่านการใช้เครือข่ายประกัน และ Financial Advisor รวมถึงการจัดสัมมนาตรวจสุขภาพแบบองค์กร และขยายตลาดไปยังกลุ่มประเทศ CLMV (กัมพูชา, ลาว, เมียนมา, เวียดนาม) ในปีหน้า
นอกจากนี้ โรงพยาบาลวิมุตจะเข้ามาเสริมความแข็งแกร่งให้กับธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ของบริษัทผ่านบริการ “Health to Home” ให้กับลูกบ้านของพฤกษา เช่น มีจัดกิจกรรมเพื่อสุขภาพ การตรวจสุขภาพเบื้องต้น (ปอด, เลือด, เบาหวาน) และหากพบปัญหาจะมีการส่งต่อเคสไปยังโรงพยาบาล
คาดการณ์ว่าโรงพยาบาลวิมุตจะมีผลกำไรสุทธิ (EBITDA) เป็นบวกในช่วงไตรมาส 4 ของปีนี้และปีหน้า โดยรายได้จะอยู่ที่ราวๆ 2,400 ล้านบาท
ทั้งหมดนี้ คือแผนการปรับตัวของ ‘พฤกษา โฮลดิ้ง’ ท่ามกลางความเปลี่ยนแปลงของตลาดอสังหาริมทรัพย์ การเดินหน้าธุรกิจหลักควบคู่กับการกระจายความเสี่ยงอย่างมีกลยุทธ์ อาจเป็นกุญแจสำคัญที่ช่วยให้บริษัทเติบโตอย่างมั่นคงในระยะยาว