สรุป เศรษฐกิจไทยครึ่งปีหลัง ดีลสหรัฐฯ ดี แต่ถูกตัดราคา สินค้าจีนทะลัก แย่ทรงตัว
SCB EIC ประมาณการเศรษฐกิจไทยปี 2568 ขยายตัว 1.8% (เดิม 1.5%) และปี 2569 เป็น 1.5% (เดิม 1.2%) ปัจจัยหลักมาจากการเร่ง Front-loading สินค้าส่งออกในช่วงครึ่งแรกของปี ก่อนสหรัฐฯ เริ่มเก็บภาษีนำเข้าสูงขึ้นมาก
สอดคล้องกับข้อมูลเศรษฐกิจไทยไตรมาส 2/2568 ที่ประกาศออกมา 2.8%YOY สูงกว่าที่ประเมินไว้เล็กน้อย จากการเร่งส่งออกสินค้าและการลงทุนภาคเอกชนที่กลับมาขยายตัวส่วนหนึ่งจากฐานต่ำ และจากอัตราภาษีนำเข้าสหรัฐฯ ของไทยที่เจรจาได้ต่ำกว่าคาดเหลือ 19% ใกล้เคียงคู่แข่งหลักในตลาดสหรัฐฯ ช่วยให้แนวโน้มส่งออกและลงทุนปรับดีขึ้นบ้าง
[ ครึ่งปีหลังเศรษฐกิจไทยจะชะลอตัวลงมาก ]
สำหรับในช่วงครึ่งหลังของปีนี้ และต่อเนื่องไปปี 2569 ปัจจัยที่ทำให้เศรษฐกิจชะลอตัวหลักๆ มี 4 ปัจจัย
- การส่งออกจะหดตัวแรง โดยเฉพาะหลังหมดผล Front-loading ในตลาดสหรัฐฯ และความต้องการสินค้าไทยจะลดลงจากเศรษฐกิจโลกชะลอตัว หลังภาษีตอบโต้ของสหรัฐฯ เริ่มเก็บจริง
- การท่องเที่ยวจะชะลอตัว SCB EIC ปรับลดประมาณการนักท่องเที่ยวต่างชาติปี 2568 เหลือ 32.9 ล้านคน และจะทยอยฟื้นตัวในปี 2569 โดยความขัดแย้งบริเวณชายแดนอาจส่งผลต่อความเชื่อมั่นของนักท่องเที่ยวต่างชาติ รวมถึงภาคการท่องเที่ยวยังมีความท้าทายจาก Tourism war และการใช้จ่ายของนักท่องเที่ยวทั่วโลกที่ชะลอลง
- การลงทุนภาคเอกชน แม้ขยายตัวดีในไตรมาส 2 แต่ส่วนหนึ่งจากปัจจัยฐาน ภาพการลงทุนจะชะลอลงในระยะข้างหน้าจากผลของกำแพงภาษีสหรัฐฯ และความเปราะบางของอุปสงค์ในประเทศ
- แรงส่งภาครัฐแผ่วลง ตามการเบิกจ่ายงบลงทุนที่ช้ากว่าที่ประเมินไว้ และปัจจัยฐานต่ำในปี 2567 เริ่มมีผลช่วยน้อยลง
อย่างไรก็ตาม ในระยะสั้นแม้อัตราภาษีสหรัฐฯ เหลือ 19% และไทยยื่นข้อเสนอใหม่ที่คำนึงรูปแบบการเปิดตลาดเพิ่มเติมจากข้อเรียกร้องของสหรัฐฯ โดยเฉพาะภาคเกษตร จะช่วยลดความเสี่ยงต่อการสูญเสียส่วนแบ่งในตลาดสหรัฐฯ และบรรเทาความกังวลผลกระทบต่อเกษตรกรและผู้ประกอบการจากการเปิดตลาดลงได้บ้าง
แต่ยังต้องจับตาความสามารถในการแข่งขันของภาคส่งออกไทยที่ยังเผชิญกับแรงกดดันจากคู่แข่งที่เผชิญภาษีนำเข้าในอัตราที่แตกต่างกันไป ตลอดจนค่าเงินบาทแข็งค่าเร็วช่วงที่ผ่านมาหากเปรียบกับหลายประเทศคู่แข่งสำคัญในตลาดสหรัฐ อาจเป็นอีกปัจจัยกดดันความสามารถในการแข่งขันของการส่งออกไทย
[ ดีลส่งออกสหรัฐฯ แต่เสี่ยงประเทศอื่นตัดราคา สินค้าจีนทะลักในไทย ]
อย่างไรก็ตาม มองไปข้างหน้าเศรษฐกิจไทยยังมีความเสี่ยงเพิ่มเติมจากสงครามการค้าที่ยังต้องติดตาม ได้แก่
- สินค้าส่งออกที่มี Import content สูงเสี่ยงจะถูกสหรัฐฯ เก็บภาษีสวมสิทธิเพิ่ม 40%
- การแข่งขันด้านราคาในตลาดสหรัฐฯ จะรุนแรงมากขึ้น กระทบกำไรของผู้ประกอบการ
- มีสินค้าจีนทะลัก การรับมือปัญหา Import flooding และการปกป้องตลาดภายในประเทศทั่วโลกที่จะรุนแรงขึ้น ส่งผลให้เศรษฐกิจไทยจะมีแนวโน้มขยายตัวต่ำกว่าอดีตมาก ส่วนหนึ่งจากกำแพงภาษีสหรัฐฯ สูงขึ้นมากจากอดีต ทำให้การพึ่งพา Growth model เดิมของไทยที่เติบโตด้วยการค้าโลกจะเป็นไปได้ยากขึ้น
[ สงครามขัดแย้งไทย-กัมพูชา เป็นปัจจัยลบให้หลายอุตสากรรมโตช้า ]
นอกจากประเด็นการค้า ยังมีประเด็นความขัดแย้งไทยและกัมพูชาเป็นปัจจัยลบเพิ่มเติมผ่านช่องทางการค้า การลงทุน ท่องเที่ยว และแรงงาน ผลกระทบขึ้นกับความรุนแรงของมาตรการตอบโต้และความยืดเยื้อ
ทำให้ภาพรวมแนวโน้มของภาคธุรกิจไทยยังมีความเสี่ยงอยู่มาก โดยยังต้องจับตาความสามารถในการแข่งขันของภาคส่งออกไทยกับคู่แข่งที่เผชิญภาษีสหรัฐฯ ในอัตราแตกต่างกัน และรายละเอียดเพิ่มเติมของข้อตกลงการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับไทย
โดยเฉพาะธุรกิจส่งออกที่เน้นตลาดสหรัฐฯ จะเผชิญการแข่งขันด้านราคารุนแรงขึ้น หรือหากสินค้าส่งออกไปสหรัฐฯ มี Import content สูง อาจเสี่ยงถูกเพ่งเล็งกรณีสวมสิทธิ
สำหรับการเปิดตลาดนำเข้าจากสหรัฐฯ ในเบื้องต้นคาดว่า ผลกระทบยังจำกัดในระยะสั้น เนื่องจากภาครัฐอาจออกมาตรการกำหนดโควตากลุ่มสินค้าที่มีความอ่อนไหวมากและปกป้องผู้ผลิตในประเทศ
สำหรับเรื่องของดอกเบี้ย SCB EIC ประเมินอัตราดอกเบี้ยนโยบายของไทยจะปรับลดลงอีก 1 ครั้งในปีนี้ และอีก 1 ครั้งในปี 2569 จาก 3 ปัจจัยหลักๆ
- ภาวะการเงินยังตึงตัวจากการชะลอลงของสินเชื่อและเงินบาทแข็งค่า อาจเป็นอุปสรรคต่อเศรษฐกิจในระยะข้างหน้า
- อัตราดอกเบี้ยนโยบายที่แท้จริง (Real rate) ยังสูงกว่าค่าเฉลี่ยในอดีต ไม่สอดคล้องกับแนวโน้มเศรษฐกิจไทยที่จะขยายตัวต่ำกว่าในอดีตอย่างมีนัย
- อัตราเงินเฟ้อไทยต่ำกว่ากรอบเป้าหมายต่อเนื่องนาน SCB EIC ประเมินอัตราเงินเฟ้อทั่วไปปี 2568 จะต่ำลงเหลือ 0.2% (เดิมมองไว้ 0.5%) จากราคาพลังงานและอาหารสดที่ลดลงต่อเนื่อง
โดยมองว่าอัตราเงินเฟ้อที่ติดลบต่อเนื่องหลายเดือนจะกลับเป็นบวกได้ในไตรมาส 4 แม้ความเสี่ยงภาวะเงินฝืดยังมีไม่มาก แต่ครัวเรือนไทยอาจกำลังเผชิญ “Debt Deflation” อยู่ ภาระหนี้สูงอาจลดทอนกำลังซื้อของครัวเรือน ส่งผลให้อุปสงค์ในประเทศอ่อนแอต่อเนื่อง จนทำให้ความเสี่ยงภาวะเงินฝืด (Deflation) สูงขึ้นได้ในที่สุด