SCB WEALTH ชี้ภาษีใหม่สหรัฐฯ ดีต่อตลาดหุ้นทั่วโลกและไทย แนะจัดพอร์ตลงทุน หุ้นเทคโนโลยี AI-ญี่ปุ่น-สหรัฐฯ ยังน่าสนใจ
SCB WEALTH มองภาษีใหม่สหรัฐฯ ที่ประกาศออกมาแล้วในอัตราที่ใกล้เคียงประเทศเพื่อนบ้านในอาเซียน โดยไทยถูกเก็บภาษีตอบโต้ในอัตรา 19% ดีกว่าที่เคยประเมินไว้ ส่งผลดีต่อการส่งออกและช่วยให้ไทยยังคงความสามารถในการแข่งขันด้านราคาในตลาดสหรัฐฯ ได้ แนะจัดพอร์ตแบบสมดุล กระจายความเสี่ยงไปในหลายสินทรัพย์ ทั้งตราสารหนี้ระยะสั้น-กลาง และตลาดหุ้นที่น่าสนใจอย่าง สหรัฐฯ ญี่ปุ่น และหุ้นกลุ่มเทคโนโลยี AI
6 สิงหาคม 2568ดร.ฐิติมา ชูเชิด ผู้อำนวยการอาวุโส ผู้บริหารฝ่ายวิจัยเศรษฐกิจมหภาค SCB EIC ธนาคารไทยพาณิชย์ เปิดเผยว่า การประกาศอัตราภาษีนำเข้าใหม่ของสหรัฐฯ เป็นความชัดเจน ทำให้บรรยากาศเศรษฐกิจโลกผ่อนคลายมากขึ้น
ค่าเฉลี่ยภาษีตอบโต้คู่ค้าสหรัฐฯ ทั่วโลกและเอเชียลดลงมาเหลือ 14% และ17% ต่ำกว่าภาษีตอบโต้ไทยที่ 19% ซึ่งปรับลดลงจากเพดานที่สหรัฐฯ ตั้งไว้ 36% สอดคล้องกับหลายประเทศในอาเซียน ช่วยให้ไทยยังคงความสามารถในการแข่งขันด้านราคาในตลาดสหรัฐฯ ได้
แต่ไทยยังคงมีความท้าทายในสินค้าบางประเภทที่เม็กซิโกเป็นคู่แข่งสำคัญในตลาดสหรัฐฯ ได้รับยกเว้นภาษีตามข้อตกลง USMCA รวมถึงความท้าทายที่ผู้ส่งออกไทยต้องเร่งปรับตัวเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตและเชื่อมโยงห่วงโซ่อุปทานในประเทศให้มากขึ้นเพื่อแก้ปัญหาสินค้าสวมสิทธิ (Transshipment) ที่จะอาจถูกสหรัฐฯ เก็บภาษีอัตราสูงถึง 40%
นอกจากนี้ อัตราภาษีไทยที่ต่ำลงนี้แลกมาด้วยข้อเสนอเปิดตลาดลดอัตราภาษี 0% สำหรับสินค้าสหรัฐฯ กว่า 10,000 รายการ หรือราว90% ของรายการสินค้าทั้งหมด ส่วนใหญ่เป็นสินค้าที่ไทยไม่ได้ผลิตเอง หรือผลิตได้ไม่พอกับความต้องการ
สินค้าเกษตรบางรายการจะเปิดตลาดอย่างค่อยเป็นค่อยไปหรือกำหนดโควต้าช่วยลดผลกระทบต่อผู้ผลิตในประเทศในระยะสั้น ขณะที่ต้องจับตาการเจรจาการค้าระหว่างจีนกับสหรัฐฯ ที่ยังอยู่ในช่วงข้อตกลงลดภาษีตอบโต้กันชั่วคราว เนื่องจากจีนเป็นอีกหนึ่งคู่แข่งสำคัญของไทยในตลาดสหรัฐฯ
SCB EIC อยู่ระหว่างการทบทวนประมาณการเศรษฐกิจไทยใหม่ หลังสหรัฐฯ เก็บภาษีไทยต่ำกว่าสมมติฐานที่ใช้คาดการณ์ในเดือน มิ.ย. 2568 ล่าสุดประเมินว่าเศรษฐกิจไทยปี 2568 และปี 2569 จะขยายตัวสูงขึ้นบ้างจากมุมมองเดิมที่ 1.5% และ 1.4% ตามลำดับ ในภาพรวมทิศทางเศรษฐกิจไทยปีหน้าจะยังคงเติบโตต่ำและชะลอลงกว่าปีนี้ สาเหตุจากการส่งออกไทยจะต้องปรับตัวและเผชิญการแข่งขันสูงขึ้นในตลาดสหรัฐฯ และตลาดโลก
อีกทั้งเครื่องยนต์สำคัญของเศรษฐกิจหลายตัวแผ่วลง เช่น ภาคท่องเที่ยว การบริโภค ขณะที่เศรษฐกิจไทยมีความเสี่ยงเข้ามาหลายทาง ทั้งความเสี่ยงจากนอกบ้าน ในบ้าน และข้างบ้าน ภาพแนวโน้มเศรษฐกิจไทยที่ชะลอตัวลงมากเช่นนี้ยังต้องอาศัยนโยบายการเงินผ่อนคลายมากขึ้นและนโยบายการคลังช่วยกระตุ้น
โดยช่วงที่เหลือของปีนี้จะมีการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) อีก 3 ครั้ง และจะมีผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) คนใหม่ ทำให้คาดว่า อาจเห็นการตัดสินลดดอกเบี้ยนโยบายผ่อนคลายนโยบายการเงินมากขึ้นอีก 2 ครั้ง รวม 50 bps อัตราดอกเบี้ยนโยบาย ณ สิ้นปีจะไปอยู่ที่ 1.25%
ในส่วนของค่าเงินบาทอ่อนค่าในช่วงสั้นจากปัจจัยขัดแย้งกับกัมพูชา แต่คาดว่าภายในสิ้นปีนี้เงินบาทจะกลับมาแข็งค่าขึ้นได้จากแนวโน้มธนาคารกลางสหรัฐฯ ลดดอกเบี้ย และความมั่นใจของนักลงทุนต่างชาติที่จะกลับมาลงทุนในไทยมากขึ้นหลังเห็นความชัดเจนของภาษีตอบโต้สหรัฐฯ ในอัตราใกล้เคียงภูมิภาค
สำหรับโอกาสของธุรกิจไทยจากภาษีใหม่ของสหรัฐฯ SCB EIC มองว่า โดยรวมมีทั้งปัจจัยที่ดูดีขึ้นและปัจจัยที่ยังต้องระมัดระวัง โอกาสอยู่ในกลุ่มสินค้าที่เคยกังวลว่าจะสูญเสียความสามารถในการแข่งขันด้านราคาในตลาดสหรัฐฯ เช่น กลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ ยานยนต์และชิ้นส่วน
ขณะเดียวกันสินค้าส่งออกหลายกลุ่มก็อาจเสี่ยงเข้าข่ายสินค้าสวมสิทธิที่สหรัฐฯ จะเก็บภาษีเพิ่มถึง 40% ได้เช่นกันหากไม่เร่งปรับตัวเพิ่มห่วงโซ่อุปทานในประเทศและเพิ่มความสามารถในการแข่งขันในตลาดโลก
โอกาสของธุรกิจไทยอีกกลุ่ม คือ กลุ่มสินค้าที่ชูจุดแข็งในประเทศสร้างมูลค่าและศักยภาพในการแข่งขัน เช่น อาหารแปรรูป เวลเนสและบรรจุภัณฑ์ นอกจากนี้ ธุรกิจไทยอาจต้องระมัดระวังผลกระทบจากการเปิดให้นำเข้าสินค้าจากสหรัฐฯ มากขึ้นเพื่อลดการเกินดุลการค้ากับสหรัฐฯ ในช่วงข้างหน้า
นายสุทธิชัย คุ้มวรชัย Head of Research Department บริษัทหลักทรัพย์ อินโนเวสท์ เอกซ์ จำกัด (InnovestX ) กล่าวว่า ภาษีใหม่ที่ประกาศออกมามีความชัดเจน โดยไทยถูกคิดในอัตราที่ไม่ต่างจากประเทศเพื่อนบ้านในอาเซียนและดีกว่าเวียดนามที่ถูกคิด 20% จึงถือเป็นโอกาสสำหรับเศรษฐกิจไทย
โดย InnovestX ได้ปรับประมาณการเศรษฐกิจไทยปีนี้ขยายตัว 1.8% ดีขึ้นกว่าประมาณการเดิม จากสัญญาณการเจรจาการค้าที่ดีขึ้น เศรษฐกิจโลกและเศรษฐกิจไทยในช่วงครึ่งปีแรกที่ดีกว่าคาด และการเมืองระหว่างประเทศที่แม้จะยังไม่แน่นอนแต่ภาพรวมเหตุการณ์คงไม่ลุกลามบานปลายแล้ว
สำหรับผลกระทบจากภาษีใหม่นั้น เรามองว่า การส่งออกไปยังสหรัฐฯ จะมีต้นทุนเพิ่มขึ้น ซึ่งอาจจะมีต้นทุนส่วนหนึ่งถูกส่งผ่านไปที่ผู้บริโภค แต่บางส่วนจะถูกส่งผ่านไปที่ผู้ขนส่ง และผู้ประกอบการต้องแบกรับต้นทุนเองบางส่วนด้วย ส่งผลกระทบต่ออัตรากำไร ขณะที่กำลังซื้อในสหรัฐฯ มีแนวโน้มลดลง อาจส่งผลกระทบต่อผู้ส่งออกสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ ขณะที่ผู้ผลิตอาหารสัตว์ อาหารทะเลแช่แข็ง และยา อาจได้รับผลกระทบจากการเปิดให้นำเข้าสินค้าจากสหรัฐฯ มากขึ้น
สำหรับกลุ่มธุรกิจ ที่คาดว่าจะได้ประโยชน์ ได้แก่ ผู้เลี้ยงสัตว์ที่อาจได้ประโยชน์จากต้นทุนอาหารสำหรับเลี้ยงสัตว์ที่ลดลง กลุ่มโรงพยาบาล เนื่องจากนำเข้าตัวยาได้ถูกลง ในขณะที่ค่าบริการทางการแพทย์ไม่ได้ลดลงไปด้วย และกลุ่มโรงไฟฟ้า จากต้นทุนการนำเข้าก๊าซ LNG ต่ำลง และกลุ่มนิคมอุตสาหกรรม ที่อาจมีการตัดสินลงทุนมากขึ้น หลังที่ผ่านมาชะลอเพื่อรอประเด็นภาษี
ทั้งนี้ ตลาดหุ้นไทยให้ผลตอบแทนค่อนข้างดีในเดือน ก.ค. ที่ผ่านมา โดย SET index ปรับเพิ่ม 14% ซึ่งสะท้อนพัฒนาการของการเจรจาการค้าไประดับหนึ่งแล้ว นอกจากนั้นตลาดหุ้นไทยยังได้แรงหนุนจากกระแสเงินทุนต่างชาติไหลกลับมาลงทุนมากขึ้น หลังจากไหลออกมากในช่วงครึ่งปีแรก ดังนั้นอาจระมัดระวังแรงขายทำกำไรในตลาดหุ้นไทยในระยะสั้น
สำหรับกลยุทธ์การลงทุนต้องเน้นคัดเลือกหลักทรัพย์ (Selective) มากขึ้น ในส่วนของ InnovestX ประเมินปัจจัยพื้นฐานของ ดัชนีตลาดหุ้นไทยปีนี้อยู่ที่ 1,250 จุด อย่างไรก็ตามหากกระแสเงินลงทุนยังไหลเข้ามาต่อเนื่อง SET Index อาจมี upside ให้กลับไปซื้อขายในระดับ PER ในอดีตที่ 14-16 เท่า หรือคิดเป็นระดับดัชนีที่ 1242-1,419 จุด
กลยุทธ์การลงทุนสำหรับผู้ที่รับความเสี่ยงได้ต่ำ อาจพิจารณาลงทุนในหุ้นที่ยังปรับตัวขึ้นช้า (Laggard) เช่น BDMS CPALL MINT MTC และ PTT สำหรับนักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้ค่อนข้างสูง แนะนำนักลงทุนในหุ้นที่คาดได้ประโยชน์จากจากการเจรจาสงครามการค้าในครั้งนี้ ได้แก่ AMATA BTG CPF GPSC WHA
น.ส.เกษรี อายุตตะกะ ผู้อำนวยการ Investment Research SCB CIO ธนาคารไทยพาณิชย์ กล่าวว่า แม้ความไม่แน่นอนทางการค้าปรับตัวดีขึ้น แต่ด้านการลงทุนก็ยังมีความไม่แน่นอนที่นักลงทุนยังวางใจไม่ได้ ใน 3 ประเด็น ได้แก่
1) การเจรจาระหว่างสหรัฐฯ กับประเทศต่างๆ ที่มีอยู่หลังจากนี้ เช่น จีน ที่จะมีการเจรจารอบถัดไป
2) ประเด็นที่จีนและอินเดียยังน้ำเข้าน้ำมันจากรัสเซียอยู่ ซึ่งอาจทำให้ประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ออกมาตรการเก็บภาษีนำเข้าเพิ่มเติมในอนาคต และ
3) ติดตามว่าศาลอุทธรณ์จะตัดสินกรณีการใช้อำนาจของประธานาธิบดี ทรัมป์ ว่าใช้อำนาจเกินขอบเขตของกฎหมาย International Emergency Economic Powers Act (IEEPA) หรือไม่ หากผลออกมาว่า เกินอำนาจ คาดว่าประธานาธิบดี ทรัมป์ จะเดินหน้ายื่นเรื่องไปยังศาลฎีกา และหากผลสุดท้ายออกมาว่าไม่สามารถใช้อำนาจประธานาธิบดีได้ ก็อาจทำให้ประธานาธิบดี ทรัมป์ ออกมาตรการภาษีอื่นที่ส่งผลกระทบเฉพาะบางรายการสินค้าแทน เนื่องจากต้องการหารายได้จากภาษีนำเข้าเพื่อไปชดเชยการขาดดุลงบประมาณที่มากขึ้น จากการขยายเวลาปรับลดภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา และการเพิ่มการใช้จ่ายด้านการคลัง
ทั้งนี้ SCB CIO ประเมินว่า เศรษฐกิจสหรัฐฯ จะได้รับผลกระทบจากการปรับขึ้นภาษีตอบโต้ Reciprocal Tariff แต่ไม่ถึงขั้นถดถอย โดย Consensus คาดว่า เศรษฐกิจสหรัฐฯ จะยังเติบโตได้ 1.5% ในปีนี้
ขณะที่ เงินเฟ้อสหรัฐฯ น่าจะมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น แม้ SCB CIO คาดว่า Fed มีแนวโน้มลดดอกเบี้ยอีก 1 ครั้งในปีนี้ แต่สัญญาณการจ้างงานนอกภาคเกษตรที่ลดลง คาดว่า จะทำให้ธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) มีโอกาสที่จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยได้มากกว่า 1 ครั้งในช่วงที่เหลือของปีนี้
ดังนั้น ในส่วนของการลงทุนตราสารหนี้ เราแนะนำให้ลงทุนในพันธบัตรรัฐบาลหรือหุ้นกู้คุณภาพดี (Investment Grade) ของสหรัฐฯ ระยะสั้นถึงกลาง หลีกเลี่ยงตราสารหนี้สหรัฐฯ ระยะยาว เนื่องจากส่วนชดเชยความเสี่ยง (Term premium) ยังมีแนวโน้มปรับเพิ่มขึ้น ตามแนวโน้มอัตราเงินเฟ้อสหรัฐฯ ที่ยังสูงและแนวโน้มการขาดดุลงบประมาณของสหรัฐฯ ที่สูงขึ้น
สำหรับการลงทุนในตลาดหุ้นพัฒนาแล้ว มองว่า ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ยังได้รับแรงสนับสนุนจากแนวโน้มการปรับลดดอกเบี้ย รวมถึงร่างกฎหมายภาษีและงบประมาณขนาดใหญ่ (One Big Beautiful Bill) ของประธานาธิบดีทรัมป์ ที่สนับสนุนเศรษฐกิจสหรัฐฯ
ขณะที่ กำไรต่อหุ้น (EPS) ของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหุ้นสหรัฐฯ ยังมีแนวโน้มเติบโตได้ดี โดยมองว่า หุ้นกลุ่มเทคโนโลยีที่เชื่อมโยงกับกระแสปัญญาประดิษฐ์ (AI) ยังได้แรงหนุนจากการที่ทางการสหรัฐฯ ออกแผนเพื่อเร่งพัฒนา AI โดยเน้นลดข้อจำกัดทางกฎระเบียบและ Hyperscalers ขนาดใหญ่ยังเพิ่มงบลงทุน (Capex) บนกลุ่ม AI
ขณะที่ ยุโรป คาดว่า เศรษฐกิจจะขยายตัวได้จากการใช้นโยบายการคลังกระตุ้นเศรษฐกิจ และการลดดอกเบี้ย ซึ่งจะส่งผลให้บริษัทจดทะเบียนในยุโรปมีแนวโน้มถูกปรับประมาณการกำไรดีขึ้น
ส่วนญี่ปุ่นนั้น จากการที่นายกรัฐมนตรีอิชิบะ พ่ายแพ้การเลือกตั้งทั้งในสภาบนและสภาล่าง ทำให้มีโอกาสที่จะลาออกช่วงปลายเดือน ส.ค. นี้ และมีการจัดตั้งพรรคร่วมรัฐบาลใหม่ ที่มีโอกาสออกนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจมากขึ้น ซึ่งจะสนับสนุนให้ผลการดำเนินงานของบริษัทจดทะเบียนมีทิศทางที่ดีขึ้น
ด้านการลงทุนในตลาดหุ้นเกิดใหม่นั้น จีนยังมีแนวโน้มใช้นโยบายการคลังเชิงรุกเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจในช่วงครึ่งปีหลัง การออกแผนยุทธศาสตร์ เช่น โครงการลงทุนเขื่อนผลิตไฟฟ้าพลังงานน้ำในทิเบต ทยอยออกนโยบายต่อต้านการแข่งขันที่มากเกินไป จนส่งผลเสียต่ออุตสาหกรรมจีน (anti-involution)ซึ่งจะช่วยหนุนผลการดำเนินงานของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหุ้นจีนได้
ขณะที่ อินเดีย ซึ่งถูกคิดภาษีตอบโต้ 25% โดยภาพรวมอาจได้รับผลกระทบไม่มาก เนื่องจากมีสัดส่วนการส่งออกไปสหรัฐฯ เพียง 2% ของการส่งออกรวม และคาดว่าจะมีการออกนโยบายกระตุ้นอุปสงค์ในประเทศมากขึ้น