ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ โล่ง ภาษีสหรัฐฯ 19% ย้ายฐานยาก ไม่มีสินค้าสวมสิทธิ์
ธุรกิจ ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ คลายกังวล หลังสหรัฐฯเก็บภาษีนำเข้า 19% อุปนายกสมาคมเซมิคอนดักเตอร์มอง "ย้ายฐานยาก" ยันไม่มีสินค้าสวมสิทธิ์ เตือนอย่าประมาท แนะติดตามซัพพลายเชนโลก การแข่งขันเดือด วอนภาคธุรกิจอย่าฉวยโอกาสลดค่าแรง
นายสัมพันธ์ ศิลปนาฏ นายกสมาคมนายจ้างอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์ และอุปนายกสมาคมเซมิคอนดักเตอร์ กล่าวในงานเสวนา “Trump’s Tariffs ไทยจะอยู่รอดได้อย่างไร” จัดโดยสมาคมเศรษฐศาสตร์แห่งประเทศไทย เมื่อวันที่ 5 ส.ค.2568 ว่า ข้อตกลงภาษีกับสหรัฐช่วยคลายความกังวลให้กับภาคอุตสาหกรรมชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ไปอย่างมาก โดยคาดว่าเรื่องการย้ายฐานการผลิต ก็ไม่น่าจะเกิดขึ้น เพราะไทยยังสามารถแข่งขันได้ต่อ และเม็ดเงินลงทุนต่างชาติ (FDI) ที่เป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญก็ไม่ติดขัด
เช่นเดียวกับสินค้าสวมสิทธิ์ทางอิเล็กทรอนิกส์ก็ไม่น่ากลัว เพราะภาคอุตสาหกรรมชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ของไทยได้ทำความสะอาดตรงนี้มา 6 ปีแล้ว หลังจากถูกตั้งประเด็นดังกล่าวเมื่อ 6 ปีที่แล้ว
อย่างไรก็ตาม นายสัมพันธ์ กล่าวว่า ยังต้องจับตาต่อไปในนระยะ 3 เดือนข้างหน้าว่าอัตราภาษีนำเข้าที่สหรัฐฯเรียกเก็บจากไทย 19% นี้จะมีการขยับไปในทิศทางใด จะมีข้อยกเว้นหรือข้อจำกัดอะไรบ้าง และสหรัฐฯจะให้สิทธิประโยชน์แก่บางประเทศมากกว่าไทยหรือไม่ ซึ่งต้องคอยติดตามและเจรจากันต่อไป
พร้อมกันนี้ แนะนำให้ติดตามสถานการณ์ห่วงโซ่การผลิต หรือซัพพลายเชนโลกที่มีความเสี่ยงจากการจัดระเบียบการค้านานาชาติใหม่ และทุกองค์กรควรเร่งปรับปรุงประสิทธิภาพการดำเนินงานเพื่อรับมือกับความเปลี่ยนและคู่แข่งทางการค้าประเทศอื่น ๆ ได้ แต่ที่สำคัญคือ การลดต้นทุนนั้น ไม่ควรลดค่าแรงอย่างเด็ดขาด เพราะจะทำให้อุตสาหกรรมไม่เติบโตจากการลดค่าแรง
รวมถึงต้องติดตามผลกระทบจากมาตรการภาษีสหรัฐฯ หลังเริ่มมีผลด้วย ซึ่งภาคชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ได้เร่งส่งออกไปมากแล้วในช่วงครึ่งปีแรก ทำให้อุตสาหกรรรมอาจจะเกิดการชะลอตัวในครึ่งปีหลังนี้ และต้องติดตามผลกระทบต่อรายได้ เนื่องจากสินค้าอุปกรณ์และชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์มีอัตราในการกำไรค่อนข้างต่ำ และภาษี 19% สามารถเข้ามากินส่วนแบ่งกำไรได้พอสมควร
นายสัมพันธ์ กล่าวว่า แม้สินค้าเทคโนโลยีหลักบางประเภท เช่น ฮาร์ดดิสก์ ไดรฟ์ และแผงวงจรรวม จะได้รับอัตราภาษี 0% แต่การเปลี่ยนแปลงของซัพพลายเชนโลก และความคลุมเครือของนโยบายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ยังเป็นตัวแปรที่ธุรกิจไม่ควรมองข้าม ดังนั้นรัฐบาลไทยควรมองการลงทุนในเนื้อหา (content localization) เป็นเรื่องจำเป็น ไม่ปล่อยให้ชื่อของบริษัทเทคโนโลยีที่มีฐานในไทยยังคงใช้ชื่อฝรั่ง ทั้งที่ผลิตและบริโภคในประเทศไทย