สหรัฐเสนอขาย AI ที่ปรับให้เหมาะสมกับเอเชีย หวังชิงความได้เปรียบจากจีน
สหรัฐภายใต้การนำของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ กำลังเดินหน้าผลักดันเอไอให้เป็นสินค้าส่งออกสำคัญ โดยชูจุดขายว่าเป็น “Customized AI” หรือ “เทคโนโลยีที่ปรับให้เข้ากับความต้องการของแต่ละประเทศในเอเชีย” ทั้งในแง่ภาษา วัฒนธรรม และการใช้งานจริง
ไมเคิล ครัทซิออส (Michael Kratsios) ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายความมั่นคงและเทคโนโลยีของทำเนียบขาว เปิดเผยระหว่างการเดินทางเยือนภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกว่า
สหรัฐมีแผนผลักดันปัญญาประดิษฐ์แบบปรับแต่งตามบริบทของแต่ละประเทศ เพื่อเป็นทางเลือกให้กับประเทศในเอเชียที่ต้องการใช้เอไอ ทั้งในภาครัฐและเอกชน โดยมีเป้าหมายหลักเพื่อรักษาความเป็นผู้นำในสนามแข่งขันเอไอระดับโลก และช่วงชิงความได้เปรียบจากจีน
ครัทซิออส เข้าร่วมประชุมความร่วมมือทางเศรษฐกิจเอเชียแปซิฟิก (APEC) ซึ่งปีนี้เน้นประเด็นด้านเอไอ และเทคโนโลยีดิจิทัล โดยเขาให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าว Nikkei Asia ว่า “เราต้องการให้โลกใช้เอไอของสหัฐเป็นหลัก” เขากล่าวถึงความพยายามโน้มน้าวพันธมิตรในเอเชียให้ร่วมมือกับสหรัฐ แทนที่จะเลือกใช้โซลูชันจากจีน
สหรัฐแข่งกับจีนด้วย AI Stack
ครัทซิออสย้ำว่า สหรัฐไม่ได้เสนอเอไอแบบสำเร็จรูปหนึ่งเดียวให้กับทุกประเทศ แต่ใช้แนวทางแบบโมดูลที่ปรับแต่งได้ตามภาษา วัฒนธรรม และความต้องการเฉพาะของแต่ละประเทศ (modularity)
“จุดแข็งของเทคโนโลยีสหรัฐ คือความยืดหยุ่นที่สามารถปรับให้เข้ากับความต้องการของแต่ละประเทศ มันไม่ได้ทำมาแบบสำเร็จรูปหนึ่งเดียวใช้ได้ทุกที่ แต่ถูกออกแบบให้ตอบโจทย์เฉพาะของแต่ละพื้นที่จริงๆ” ครัทซิออส กล่าว
ในเดือนกรกฎาคม รัฐบาลสหรัฐได้เผยแพร่ AI Action Plan หรือแผนปฏิบัติการเพื่อแสดงวิสัยทัศน์ด้านเอไอ โดยเฉพาะในแง่การแข่งขันกับจีน โดย “AI stack” หมายถึงชิ้นส่วนต่างๆ ที่ทำให้ระบบเอไอทำงานได้ ตั้งแต่ฮาร์ดแวร์อย่างชิปคอมพิวเตอร์ โมเดล ซอฟต์แวร์ แอปพลิเคชัน ไปจนถึงมาตรฐานต่างๆ ที่ประกอบกันเป็นระบบเอไอแบบครบวงจร
แผนดังกล่าวระบุชัดว่า สหรัฐมีความได้เปรียบด้านเทคโนโลยีเอไอ และควรใช้ข้อได้เปรียบนี้ในการสร้างพันธมิตรระดับโลกอย่างถาวร ในขณะเดียวกันก็ป้องกันไม่ให้ “ศัตรู” หรือคู่แข่งใช้ประโยชน์จากนวัตกรรมของสหรัฐ โดยไม่ลงทุนเอง
นักวิเคราะห์ตั้งคำถาม จะทำได้จริงหรือ?
อย่างไรก็ตาม นักวิเคราะห์บางรายมองว่าวิสัยทัศน์ของรัฐบาลสหรัฐยังมีช่องโหว่หลายจุด โดยเฉพาะในด้านการปฏิบัติให้เป็นจริง คาเมรอน เอฟ. เคอร์รี (Cameron F. Kerry) ผู้เชี่ยวชาญด้านเอไอจากสถาบัน Brookings กล่าวว่า “มีหลายแง่มุมของ AI Action Plan ที่ชวนให้ตั้งคำถามว่า รัฐบาลจะทำได้จริงตามที่พูดหรือไม่ โดยเฉพาะในส่วนของการส่งออก AI stack”
เคอร์รีย้ำว่า หากสหรัฐทำได้ตามที่พูดไว้ว่า “จะไม่ใช้สูตรสำเร็จเดียวกับทุกประเทศ” โอกาสประสบความสำเร็จก็จะเพิ่มขึ้น
ปัญหาเบื้องหลัง: ภาษี การลงทุน และความไม่แน่นอน
การเยือนเอเชียของครัทซิออสยังเกิดขึ้นท่ามกลางบรรยากาศของความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจจากนโยบายภาษีแบบ “ตอบโต้” ของประธานาธิบดีทรัมป์ ซึ่งสร้างแรงสั่นสะเทือนต่อประเทศที่พึ่งพาการส่งออกอย่างญี่ปุ่นและเกาหลีใต้
ทั้งสองประเทศพยายามต่อรองเพื่อลดอัตราภาษีจากที่ทรัมป์ขู่ไว้ว่าจะตั้งไว้ที่ 25% ให้เหลือเพียง 15% โดยต้องแลกกับคำมั่นว่าจะลงทุนในสหรัฐเป็นจำนวนมหาศาล
ญี่ปุ่นให้คำมั่นจะลงทุน 550,000 ล้านดอลลาร์ ขณะที่เกาหลีใต้ตั้งกองทุนมูลค่า 350,000 ล้านดอลลาร์เพื่อใช้ลงทุนในสหรัฐ แต่ข้อตกลงเหล่านี้ยังขาดรายละเอียด ทำให้หลายฝ่ายตั้งคำถามถึงความเป็นไปได้ในการนำไปใช้จริง
ขณะเดียวกัน การที่รัฐบาลทรัมป์ใช้มาตรการทางเศรษฐีกับพันธมิตรเก่าอย่างญี่ปุ่นและเกาหลีใต้ ยังสร้างคำถามว่าหากสหรัฐจะขายเทคโนโลยีเอไอให้ประเทศในเอเชีย ความไว้เนื้อเชื่อใจในฐานะ “พันธมิตร” จะเพียงพอหรือไม่
สหรัฐยืนยันเดินหน้าสร้างพันธมิตรเอไอ
ครัทซิออสระบุว่า ประเทศในเอเชียแปซิฟิกมีความต้องการใช้เอไอสูงมาก ทั้งในภาครัฐและเอกชน ซึ่งเป็นโอกาสสำคัญของสหรัฐในการเข้าไปมีบทบาท
แม้จะมีความตึงเครียดด้านเศรษฐกิจและคำถามเรื่องความน่าเชื่อถือ แต่ครัทซิออสกล่าวว่า การต้อนรับจากประเทศในเอเชีย โดยเฉพาะเกาหลีใต้ เป็นไปอย่างอบอุ่น และเขายังมั่นใจว่าสหรัฐจะเดินหน้าร่วมมือกับประเทศในเอเชียอย่างต่อเนื่อง
“ตัวอย่างที่ชัดเจนคือ ความสำเร็จของประธานาธิบดีในการผลักดันข้อตกลงทางการค้า” เขากล่าว พร้อมเสริมว่า “ข้อตกลงเหล่านี้สะท้อนให้เห็นถึงความตั้งใจของทั้งสองฝ่าย ที่จะร่วมมือกันสร้างอนาคตที่ดีขึ้น”
อ้างอิง: Asia Nikkei