ฉากรบเกมแค้น ‘น้ำเงิน-แดง’ สงครามตัวแทน ‘เขย่าผู้นำ-เปลี่ยนนายกฯ'
“นิติสงคราม” ตามหลอน หลังศาลรัฐธรรมนูญ มีมติเอกฉันท์ 9 เสียง “รับคำร้อง” ที่ “มงคล สุระสัจจะ” ประธานวุฒิสภา ในนามสมาชิกวุฒิสภา 36 คน ยื่นถอดถอน “แพทองธาร ชินวัตร” นายกรัฐมนตรี จากกรณีคลิปเสียงสนทนากับ ฮุน เซน ประธานวุฒิสภากัมพูชา ที่อาจเกี่ยวข้องกับสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา ซึ่งเข้าข่ายความผิดตามรัฐธรรมนูญมาตรา 170 วรรคหนึ่ง (4) ประกอบมาตรา 160 (4) และ (5)
ขณะเดียวกันศาลรัฐธรรมนูญมีมติ 7 ต่อ 2 เสียง สั่งให้ “แพทองธาร” หยุดปฏิบัติหน้าที่ จนกว่าจะมีคำวินิจฉัย
โดยขั้นตอนหลังจากนี้ ศาลจะแจ้งผู้ร้องทราบ และให้ผู้ถูกร้องยื่นคำชี้แจงแก้ข้อกล่าวหาภายใน 15 วัน นับแต่วันที่ได้รับสำเนาคำร้องตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยวิธีพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2561 มาตรา 54
ทั้งนี้คาดว่า กระบวนการชี้ขาดในคดีดังกล่าวจะใช้เวลาเร็วที่สุดประมาณ 1 เดือน หรืออาจมากกว่านั้น หากเทียบเคียงกับกรณี ที่เคยเกิดขึ้นในอดีต โดยเฉพาะกรณี “2 อดีตนายกฯ” ทั้ง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เรื่องการนับวาระการดำรงตำแหน่ง 8 ปี หรือกรณี “เศรษฐา ทวีสิน” ถูกยื่นตีความประเด็นความซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์ จากการแต่งตั้ง “พิชิต ชื่นบาน” เป็นนายกรัฐมนตรี
ทว่าจนถึงเวลานี้สารพัดนิติสงครามจากบรรดา “ฝ่ายแค้น” นายกฯแพทองธาร รวมถึงพรรคเพื่อไทย ยังคงเปิดเกมรุกไม่หยุดหย่อน
ทั้ง นพ.ตุลย์ สิทธิสมวงศ์ แนวร่วมคณะรวมพลังแผ่นดินปกป้องอธิปไตยไทย ที่ยื่นหนังสือถึงประธานวุฒิสภา เพื่อส่งคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญ ถอดถอน "แพทองธาร" จากตำแหน่ง รมว.วัฒนธรรม ประเด็นขาดคุณสมบัติตามรัฐธรรมนูญมาตรา160(4) (5) เนื่องจากถูกศาลรัฐธรรมนูญสั่งหยุดปฏิบัติหน้าที่นายกรัฐมนตรีเป็นการชั่วคราว
ไม่ต่างจากฝั่ง “สว.สีน้ำเงิน” ต้นเรื่องชงคำร้องไปยังศาลรัฐธรรมนูญ เวลานี้กำลังกระหยิ่มยิ้มย่อง หลังศาลสั่ง “แพทองธาร” หยุดปฏิบัติหน้าที่ แถมไม่รับคำร้อง“ณฐพร โตประยูร” ที่ยื่นคำร้อง ขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 49 ว่า คณะกรรมการการเลือกตั้ง(กกต.) จัดการเลือกสมาชิกวุฒิสภา(สว.)ไม่เป็นไปโดยสุจริต และเที่ยงธรรม โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อให้ความช่วยเหลือ สนับสนุน และเอื้อประโยชน์ให้พรรคภูมิใจไทย
ทำให้เกม“ดาบสอง” ถูกรับลูกจากม็อบนอกสภาฯ แบบปัจจุบันทันด่วน ข่าวคราวที่ว่า “สว.หลายคน” ที่พอจะอนุมานได้ว่าเป็น“สว.สีน้ำเงิน”จะยื่นศาลรัฐธรรมนูญ 2 กรณี คือ 1.นายกฯ แพทองธาร ทูลเกล้าฯ ตัวเอง เป็นรมว.วัฒนธรรม ทั้งที่ถูกร้องอยู่ที่ศาลรัฐธรรมนูญ ประเด็นจริยธรรม และความซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์ และศาลรัฐธรรมนูญ รับคำร้อง สั่งหยุดปฏิบัติหน้าที่
2.“สุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ” รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.คมนาคม ในฐานะรักษาการนายกรัฐมนตรี ซึ่งจะนำ “แพทองธาร” รวมถึง ครม. เข้าเฝ้าถวายสัตย์ปฏิญาณ ในขณะที่ศาลรัฐธรรมนูญกำลังพิจารณาถอดถอน “แพทองธาร” ที่อาจมีปัญหา ไม่น่าทำได้
แม้ภายหลังจะมีความเห็นวิปรัฐบาลออกมาปฏิเสธกระแสข่าวดังกล่าว ทว่าข่าวคราวถูกปล่อยออกย่อมหวังผลเพื่อปั่นเกมนิติสงครามที่กำลังเกิดขึ้นในเวลานี้
สอดรับเกม“พรรคสีน้ำเงิน” ที่เริ่มประเดิม ภารกิจฝ่ายค้าน หลังถูกผลักออกจากขั้วรัฐบาล เดิน “เกมรุกคู่ขนาน” ฝั่งสภาล่าง โดยก่อนหน้านี้ “โหมโรง” เตรียมยื่นซักฟอกรัฐบาล หยิบยกข้อกล่าวหาเป็นภัยต่อความมั่นคง จากกรณีปรากฏคลิปเสียงสนทนาระหว่างนายกฯ แพทองธาร และฮุน เซน
จับอาการ “พรรคสีน้ำเงิน” ล่าสุด ที่ส่งสัญญาณติดเบรกยื่นซักฟอก อ้างถึงเหตุผลที่ว่า ศาลรัฐธรรมนูญได้มีคำสั่งให้ “แพทองธาร” หยุดปฏิบัติหน้าที่ชั่วคราว จึงต้องรอจนกว่าศาลจะมีคำตัดสิน
ลึกๆ แล้ว “พรรคสีน้ำเงิน” ย่อมรู้ดีว่า ภายใต้เงื่อนไขในการยื่นซักฟอกโดยใช้เสียง สส.1 ใน 5 ของสมาชิกที่มีอยู่ หรือ 99 เสียง จากจำนวนสมาชิก 495 เสียง
ขณะที่ภูมิใจไทยมีเสียงในมือเวลานี้เพียง 69 เสียง แม้จะมีสัญญาณจาก “ลุงป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐสั่งให้ สส.ร่วมลงชื่อในญัตติดังกล่าว ก็ยังขาดเสียงสนับสนุนอีกกว่า 10 เสียงอยู่ดี
ครั้นจะขอเสียงจาก “พรรคประชาชน” ในฐานะแกนนำฝ่ายค้าน ก็เป็นที่รู้กันว่า ภายใต้โจทย์ที่ต่างกัน“พรรคส้ม” ต้องการช่วงชิงความได้เปรียบ ในยามที่พรรคเพื่อไทยกำลังเพลี่ยงพล้ำ ด้วยการเรียกร้องให้นายกฯ ประกาศ “ยุบสภา” เพื่อเปิดทางให้มีการเลือกตั้งใหม่
ฉะนั้นเกม ของ “พรรคภูมิใจไทย” และ “พรรคพลังประชารัฐ” ที่โชว์ภาพประสานพลังฝ่ายแค้น แท้จริงแล้วอาจไม่ได้มีเป้าหลักอยู่ที่ซักฟอก แต่เป็นเกมปั่นพรรคเพื่อไทยให้ป่วน โดยอาศัยแนวร่วม “อนุรักษนิยม” นอกสภาฯ ที่กำลังเดินเกมเคลื่อนเรียกร้องให้นายกฯ “ลาออก” พร้อมเตรียมนัดเคลื่อนไหวใหญ่ ส.ค.โดยมีเป้าหมายไล่รัฐบาล
หรืออีกนัยหนึ่ง “พรรคภูมิใจไทย” หวังให้เกิดเกมพลิก หาก “แพทองธาร” ตัดสินใจลาออกจากตำแหน่งนายกฯ ไปเสียก่อน ก็จะเข้าทางเกม “เปลี่ยนตัวนายกฯ” ที่เวลานี้มีแคนดิเดตนายกฯ จากพรรคการเมืองประกอบด้วย ชัยเกษม นิติสิริ จากพรรคเพื่อไทย อนุทิน ชาญวีรกูล จากพรรคภูมิใจไทย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา พีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค จากพรรครวมไทยสร้างชาติ และจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ จากพรรคประชาธิปัตย์
สอดคล้องกับที่ “อนุทิน” ประเมินสถานการณ์ว่า ถ้าการเมืองถึงทางตัน ก็มีอยู่แค่ 2 ทาง คือ “ยุบสภา” และ “ลาออก” อีกทั้ง ยังย้ำถึงสถานะของเขาเองในเวลานี้ ยังมีสถานะเป็น “แคนดิเดตนายกฯ” ของพรรคภูมิใจไทย
ฉะนั้นข่าวคราวที่ว่า มีการเปิดดีล 2 พรรค โดยพรรคประชาชนที่จะโหวตให้เป็นนายกรัฐมนตรี แต่ต้องเป็นรัฐบาลชั่วคราวแลกเงื่อนไขด้วยการแก้รัฐธรรมนูญก่อนยุบสภาเลือกตั้งใหม่ไม่ใช่ไอโอเหมือนที่ "อนุทิน" ให้สัมภาษณ์
จะว่าไป ฝั่ง“เพื่อไทย” เองก็รู้ดี ถึงเส้นสนกลในของฝั่งสีน้ำเงิน ที่ไม่ได้มีแค่ “คดีฮั้ว สว.” แต่ยังมีปมร้อน อย่างกรณีถือครองที่ดินเขากระโดงที่โยงไปถึง “ครูใหญ่บุรีรัมย์” และบุคคลในครอบครัว
เห็นชัดถึงการเปิดฉากผ่านสงครามตัวแทน ไม่ว่าจะเป็น “ภูมิธรรม เวชยชัย” รองนายกฯ และรมว.มหาดไทย ในฐานะ “ขุนพลชินวัตร” พูดถึงคดีเขากระโดง จ.บุรีรัมย์ ในวันที่เพื่อไทยกุมอำนาจเบ็ดเสร็จในกระทรวงคลองหลอด ส่งสารไปถึงฝั่งสีน้ำเงินเพื่อเปิดเกมเบรก
“หากไม่มีใครที่กระทำผิด ก็ไม่มีใครไปทำอะไรได้ และเชื่อว่าในกระบวนการนี้น่าจะไม่มีปัญหา”
หรือกรณี “กุสุมาลวตี ศิริโกมุท” อดีตผู้สมัคร สว. ที่ว่ากันว่า ได้รับสัญญาณเดียวกัน เข้ายื่นหนังสือถึง พ.ต.ต.ยุทธนา แพรดำ อธิบดีดีเอสไอ ร้องขอให้มีการตรวจสอบ และดำเนินคดีกับอนุทิน และพรรคพวก เรื่องละเว้นดำเนินการกรณีที่ดินเขากระโดง
อีกทั้งก่อนหน้านี้ ยังมีกรณี “สนามบินกลางถนนรัฐ” ที่ ลำตะคอง อ.ปากช่อง จ.นครราชสีมา ที่ไม่มีชื่อปรากฏในทะเบียนสนามบินเชิงพาณิชย์ แต่มีเครื่องบินขึ้น-ลงวันละเกือบ 20 เที่ยว แถมพบการทำธุรกิจให้ VIP กระโดดร่ม Skydiving
ทั้งหมดทั้งมวล เป็นการสะท้อนให้เห็นชัดถึง “สงครามตัวแทน” ระหว่างน้ำเงิน-แดง ที่กำลังเปิดฉากใส่กันไม่ยั้ง ยิ่งเวลานี้ “2 พรรค” อยู่ขั้วตรงกันข้ามการเมืองด้วยแล้ว เกมแค้นเอาคืน ยิ่งเข้มข้นขึ้นเป็นเท่าทวีคูณ
พิสูจน์อักษร….สุรีย์ ศิลาวงษ์