คำต่อคำ: "แสนสิริ" ในวันที่ต้องตัดสินใจ ปูพรมแบรนด์ฝ่าวิกฤติอสังหาฯ
วิกฤติอสังหาริมทรัพย์ที่ยังไร้แสงสว่างปลายอุโมงค์ แม้ดอกเบี้ยขาลงช่วยหนุนกำลังซื้อ แต่เศรษฐกิจไทยยังไม่ฟื้น หนี้ครัวเรือนพุ่งสูง ความเชื่อมั่นหดหาย ใครจะกล้าซื้อ! สิ่งที่ผู้พัฒนาโครงการทำได้คือ ทุนหนา เงินแน่น โครงการรอขายต้องมี และปรับเกมตลอดเวลา เพื่อ "บุกได้ทุกสภาวะตลาด"
หนึ่งในแบรนด์ที่แข็งแกร่งในตลาดอสังหาฯที่สู้ศึกหนักไม่แพ้ใครก็คือ "บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) หรือ SIRI" ที่วันนี้ยังเติบโตได้อย่างแข็งแกร่ง
คำถาม คือ โอกาสการเติบโตของแสนสิริในอนาคตยังมีมากน้อยแค่ไหน ?
"อุทัย อุทัยแสงสุข" กรรมการผู้จัดการใหญ่ SIRI ประเมินแนวโน้มผลการดำเนินงานในช่วงครึ่งหลังปี 2568 ถือว่าสดใส ด้วยสถานการณ์ต่างๆยังไม่มีอะไรที่ดีขึ้นเมื่อเทียบกับช่วงครึ่งแรกปี 2568 แต่ปัจจัยโดยรวมถูกซึบซับไว้ทั้งหมด ยอดโอนคอนโดสูงกว่าครึ่งปีแรก ยอดพรีเซล 46,000 ล้านบาทมั่นใจว่าทำได้ตามเป้าหมาย
อีกทั้งยังรับรู้ "ธุรกิจพรีคาสก์" ซึ่งเป็นธุรกิจที่ใช้ในแง่การผลิตเพื่อสร้างบ้านของกลุ่มบริษัท แต่ด้วยความต้องการเข้ามาเพิ่มเลยขยายกลุ่มผู้ประกอบการรายเล็กเพื่อสร้างบ้านให้กลุ่มลูกค้ารายเล็กและมีบ้านต้นแบบรองรับลูกค้าที่ต้องการมีบ้าน หรือบ้านตัวอย่าง 80-90 แบบ บ้านแฝด-บ้านเดี่ยวตั้งแต่ไซส์เล็กถึงใหญ่ คาดสิ้นปีนี้มีรายได้ 200 ล้านบาท
ถามว่า แสนสิริได้รับผลกระทบจากแรงงานกัมพูชาย้ายออกหรือไม่ อย่างไร ?
แรงงานต่างชาติส่วนใหญ่ คือ พม่า จึงไม่มีปัญหา อีกทั้งเราใช้เอาท์ซอสบริษัทข้างนอก ดังนั้นบริษัทที่รับงานของเราต้องแก้ปัญหา ขณะที่ระบบที่ใช้ในโรงงานแบบออโตเมติกส์จึงมีพนักงานเพียง 200 คน อาจต้องหาเพิ่มราว 30 คน
ทำไมถึงตัดสินใจขาย "เดอะสแตนดาร์ด"
สาเหตุที่ขายเดอะสแตนดาร์ด เป็นแบรนด์ที่ลงทุน 7-8 ปีก่อนหน้านี้ จำนวนที่บริหาร 5 โรงแรม พอเราเข้าไปบริหารสามารถขยายการบริหารโรงแรมอีก 20 แห่ง จากขาดทุนจนเริ่มดีขึ้น ทางไฮแอทจึงติดต่อเข้ามาซื้อและเราได้มูลค่าที่สมเหตุผล มีกำไร
การลงทุนอื่นๆ แสนสิริขยายธุรกิจทั้งบ้านต้นแบบ พรีคาสก์รับสร้างบ้านให้ผู้ประกอบการ ลิฟท์24 และโครงการใหม่ๆ การมองธุรกิจที่ขยายยังมีอยู่ เรามีเงินลงทุนกว่า 100 ล้านเหรียญฯที่อยู่ในต่างประเทศที่ยังไม่มีนำเข้ามา
ประเด็นการเมืองส่งผลกระทบแค่ไหน ?
ผมว่าทุกวันนี้เรื่องปัจจัยต่างๆมีผลกระทบตั้งแต่ไตรมาส 2 ที่ผ่านมา และปัญหาต่างๆที่เกิดขึ้นส่งผลกระทบทั้งหมดและอยู่ในมุมมอง ซึ่งธุรกิจอสังหาฯคงเลี่ยงไม่พ้นสิ่งเหล่านี้
เราหวังว่าเศรษฐกิจไทยน่าจะเดินต่อไป แม้ GDP จะเติบโตกว่า 2% แต่ด้วยแบรนด์แสนสิริเรามียอดขายในครึ่งปีแรกใกล้เป้าหมายที่วางไว้ ดังนั้นครึ่งปีหลังยังอยู่ในเป้าที่ท้าทายและเราสามารถไปให้ถึงเป้าหมายที่ตั้งไว้ได้
จำนวนนักท่องเที่ยวที่ลดลงกระทบยอดขายต่างชาติแค่ไหน ?
เรื่องยอดขายเห็นในช่วงปลายปีที่ผ่านมา โดยเฉพาะพื้นที่ กทม. ยอดขายต่างชาติลดลง แต่ภูเก็ตเพิ่มขึ้น โดยรวมคาดว่ายอดขายต่างชาติเป้า 7,000 ล้านบาท ใกล้เคียงปีที่ผ่านมา ตอนนี้มียอดขายแล้ว 4,000 ล้านบาท และอีก 3,000 ล้านในช่วงครึ่งปีหลังน่าจะทำได้
ดอกเบี้ยลดลงส่งผลอย่างไร ?
แน่นอนว่า ดอกเบี้ยที่ลดลง ต้นทุนก็ลดลงมีผลต่อราคาขาย ส่วนลูกค้า 70%มีการกู้ขอสินเชื่อ ดังนั้นถ้าดอกเบี้ยลดลง 1% จะช่วยให้ความสามารถในการกู้เพิ่มขึ้น 8%
แต่ด้วยปัจจัยหนี้ครัวงเรือนที่ค่อนข้างสูงทำให้ธนาคารระมัดระวังในการปล่อยกู้ แต่แสนสิริมีพันธมิตร อย่าง SCB, KBANK, TTB, BBL จึงไม่มีปัญหา
"การลดดอกเบี้ยมีผลดีอยู่แล้ว แต่จะมีผลมากทำให้สถานการณ์กลับมาเหมือนก่อนช่วงโควิด-19 ก็คงไม่ใช่ เพราะเศรษฐกิจยังไม่ได้สดใสนัก"
ตลาดแนวราบและคอนโดจะฟื้นเมื่อไหร่ ?
ในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมาผู้พัฒนาอสังหาฯลดจำนวนโครงการคอนโดลง จังหวะนั้นคือโอกาสที่เราเข้าไปทำ โดยการเจาะบางพื้นที่ เพราะด้วยปัจจัยการขอ EIA ไม่ง่ายเลย อย่างในพื้นที่ กทม. ใช้เวลาขอราว 16-18 เดือนถึงจะเริ่มก่อสร้างอีก 2 เดือน โดยรวมการก่อสร้างโครงการคอนโดมิเนียม 1 แห่งต้องใช้เวลาพัฒนาอย่างน้อย 3 ปี ดังนั้นผู้พัฒนาโครงการจึงต้องมีการเงินแข็งแกร่ง
ส่วนบ้านเดี่ยวมีดีมานด์ที่ขึ้นกับภาวะเศรษฐกิจ ถ้าเศรษฐกิจดีความมั่นใจจะกลับมา กำลังซื้อจะกลับมา ที่ผ่านมาฝ่ายการตลาดพยายามปรับกลยุทธ์และเข้าไปช่วยลูกค้าในทุกมิติ ทำให้ยอดขายกระเตื้องขึ้นมา
อสังหาฯครึ่งปีหลังฝากความหวังกับปัจจัยใดบ้าง ?
ผมเชื่อมั่นว่าที่อยู่อาศัยเป็นปัจจัยสี่ สุดท้ายคนต้องการความมั่นคงก็ต้องซื้อบ้าน ดังนั้นภาพรวมตลาดอสังหาริมทรัพย์ครึ่งปีหลังจึงไม่ต่างจากครึ่งปีแรก โครงการแนวราบยังทรงตัว
ส่วนคอนโดฯในหัวเมืองท่องเที่ยวอย่างภูเก็ตและพัทยายังได้รับความสนใจจากนักลงทุนต่างชาติ ขณะที่ขอนแก่นยังมีแนวโน้มดี ในช่วงปลายปีนี้จะมีคอนโดฯ ในภูเก็ตเสร็จพร้อมโอน และโครงการแนวราบ จะสร้างยอดโอนขั้นต่ำอีก 500 ล้านบาท
นอกจากนี้เตรียมเปิด 12 โครงการใหม่ รวมมูลค่า 33,000 ล้านบาท โดยในไตรมาส 3/68 เปิด 5 โครงการ มูลค่า 14,900 ล้านบาท และเปิดอีก 7 โครงการ มูลค่า 18,360 ล้านบาท ในไตรมาส 4/68
ปัจจุบันบริษัทมีมูลค่างานในมือ (Backlog) อยู่ที่ 18,627 ล้านบาท คาดโอนปีนี้ 6,404 ล้านบาท ส่วนโครงการร่วมทุน (JV) มีแบ็กล็อก 3,331 ล้านบาท คาดโอนปีนี้ 1,205 ล้านบาท