SCBX–Ascend Money เดินหน้าสร้างตลาดใหม่ Virtual Bank ดันโอกาสโตยั่งยืน
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันนี้ (27 ส.ค.68) ในงาน Thailand Focus 2025 ได้มีการจัดเวทีเสวนาในหัวข้อ “Virtual Banks in Thailand: Opportunities, Risks, and Governance Challenges” นำเสนอวิสัยทัศน์โดย นายมาณพ เสงี่ยมบุตร ประธานเจ้าหน้าที่บริหารด้านการเงิน บริษัท เอสซีบี เอกซ์ จำกัด (มหาชน) หรือ SCB และนายอิทธินันท์วัฒน์สุขสันติหัวหน้าฝ่ายสินเชื่อ บริษัท แอสเซนด์ มันนี่ จำกัด และหัวหน้าฝ่ายพัฒนาธุรกิจสินเชื่อเพื่อธุรกิจ บริษัท แอสเซนด์ นาโน จำกัด โดยทั้งสองได้สะท้อนมุมมองที่สอดคล้องกันถึงบทบาทของธนาคารเสมือนจริง (Virtual Bank) ในการเพิ่มการเข้าถึงบริการทางการเงินแก่ประชากรไทยที่ยังเข้าไม่ถึงระบบการเงินอย่างเพียงพอ (Underbanked)
ทั้งนี้ หน่วยงานที่ได้รับใบอนุญาตประกอบธุรกิจธนาคารเสมือนจริงในประเทศไทยมี 3 กลุ่ม ได้แก่
1.บริษัท เอซีเอ็ม โฮลดิ้ง จำกัด (ทรูมันนี่)
- ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน)หรือ KTB, บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน)หรือ ADVANC , และ บริษัท ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) หรือ OR
3.บริษัท เอสซีบี เอกซ์ จำกัด (มหาชน) หรือ SCB, บริษัท วี เทคโนโลยี จำกัด และ KakaoBank Corp.
“เอสซีบี เอกซ์”เน้น AI และโครงสร้างต้นทุนที่มีประสิทธิภาพ
นายมาณพ กล่าวว่า ธนาคารเสมือนจริงถือเป็น “ธุรกิจแห่งอนาคต” สำหรับทั้งประเทศไทยและ SCBX แม้การเข้าถึงบริการผ่านโมบายแบงก์กิ้งจะอยู่ในระดับสูง แต่ยังมีประชากรจำนวนมากที่เข้าไม่ถึงบริการทางการเงินในระบบ ซึ่งเป็นโอกาสขนาดใหญ่ที่เพียงพอสำหรับทั้งสามธนาคารเสมือนจริงที่ได้รับใบอนุญาต
ทั้งนี้ กลยุทธ์ของ SCBX มุ่งเน้นการถอดบทเรียนจากพันธมิตรระดับโลก เช่น KakaoBank และ WeBank ซึ่งเป็นธนาคารดิจิทัลชั้นนำในเอเชีย เพื่อนำมาประยุกต์ใช้ด้านนวัตกรรม ประสบการณ์ผู้ใช้งาน และการปรับบริการให้ตรงความต้องการรายบุคคล เพื่อสร้าง “ความพึงพอใจสูงสุดของลูกค้า”
สำหรับความแตกต่างสำคัญของ SCBX คือการพัฒนาแพลตฟอร์มธนาคารที่ใช้ AI เป็นหลักบนระบบคลาวด์ที่พัฒนาขึ้นใหม่ทั้งหมด ไม่มีข้อจำกัดจากระบบเดิม โดยตั้งเป้ารักษาสัดส่วนต้นทุนต่อรายได้ (C/I Ratio) ให้อยู่ในระดับต่ำกว่า 30% สำหรับธนาคารเสมือนจริง ของกลุ่ม SCBX เกือบ 40% และของกลุ่มพันธมิตรที่อยู่ราว 20-30%
ส่วนในด้านการแข่งขัน นายมาณพ กล่าวว่า ธนาคารเสมือนจริงจะไม่แข่งขันโดยตรงกับธนาคารเดิม แต่จะสร้าง “ตลาดใหม่” โดยเน้นกลุ่มที่ยังเข้าไม่ถึงบริการในระบบ ความเชื่อมั่นจะไม่ใช่อุปสรรคหลัก เนื่องจากธนาคารเสมือนจริงอยู่ภายใต้การกำกับเช่นเดียวกับธนาคารทั่วไป แต่ความท้าทายคือการนำเสนอผลิตภัณฑ์ที่ตอบโจทย์
แม้ธนาคารเสมือนจริงสามารถช่วยดึงผู้กู้ออกจากตลาดเงินกู้นอกระบบได้ แต่ปัญหาหนี้ครัวเรือนของไทยยังคงเป็นปัญหาเชิงโครงสร้างจากความเหลื่อมล้ำทางรายได้ ซึ่งต้องได้รับการแก้ไขด้วยนโยบายภาครัฐ โดยในระยะต้นจะวัดความสำเร็จผ่านการได้ลูกค้าใหม่ การมีส่วนร่วม และการใช้ผลิตภัณฑ์ ขณะที่เป้าหมายระยะยาวคือผลตอบแทนต่อผู้ถือหุ้นที่สูงกว่าการดำเนินงานเดิมของ SCBX อย่างมีนัยสำคัญ
อย่างไรก็ตาม SCBX ได้จัดสรรทุนเริ่มต้นจำนวน 5,000 ล้านบาท และจะเพิ่มเป็น 10,000 ล้านบาท พร้อมพัฒนาระบบ Core Banking อิสระ และระบบนิเวศที่เปิดกว้าง (Plug-and-Play) โดยตั้งเป้าว่าในอีก 5 ปีข้างหน้า จะกลายเป็น “แพลตฟอร์มธนาคารเสมือนจริงที่ได้รับความนิยมสูงสุดของไทย”
ด้านนายอิทธินันท์วัฒน์สุขสันติ นำเสนอวิสัยทัศน์ที่สอดรับกัน โดยเน้นย้ำว่า Ascend Money จะใช้ประโยชน์จากระบบนิเวศของ TrueMoney ซึ่งมีผู้ใช้งานมากกว่า 30 ล้านรายต่อวัน รวมถึงเครือข่ายพันธมิตรขนาดใหญ่ เป้าหมายคือ “ทำให้บริการทางการเงินเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวันของผู้บริโภค” โดยผนวกรวมผลิตภัณฑ์เข้ากับพฤติกรรม และนำเสนอผลิตภัณฑ์ที่ปรับแต่งเฉพาะบุคคลจากการวิเคราะห์ข้อมูล
ทั้งนี้นายอิทธินันท์ระบุผลกระทบที่คาดว่าจะเกิดขึ้นจากธนาคารเสมือนจริง 3 ด้าน ได้แก่
1.การเข้าถึงสินเชื่ออย่างยืดหยุ่นและครอบคลุม โดยใช้ AI ในการประเมินความเสี่ยงและข้อมูลทางเลือกสำหรับแรงงานอิสระ
2.การให้บริการผ่านมือถือเป็นหลัก โดยเน้นความเรียบง่าย และสร้างความไว้วางใจแก่ผู้ใช้ใหม่
3.การนำเสนอผลิตภัณฑ์ที่หลากหลาย ทั้งบัญชีเงินฝาก การลงทุน และประกันภัย ที่ตรงกับความต้องการผู้บริโภค
Ascend Money ยึดหลัก “ความเชื่อมั่น” ผ่าน 4 เสาหลัก คือ ความโปร่งใส ผลงานในอดีตที่พิสูจน์ได้ การให้บริการดิจิทัลแบบเข้าใจมนุษย์ และความปลอดภัยของข้อมูลในระดับสูง
อย่างไรก็ตามเขาเน้นย้ำถึงความสำคัญของการเข้าถึงทางการเงินอย่างเป็นรูปธรรม เช่น การให้วงเงินสินเชื่อขนาดเล็กแก่ผู้ค้ารายย่อยเพื่อบริหารธุรกิจรายวันหรือใช้ในยามฉุกเฉิน ซึ่งช่วยลดการพึ่งพาหนี้นอกระบบได้ นอกจากนี้ ผลิตภัณฑ์เงินฝากที่มีฟีเจอร์เช่น การตั้งเป้าหมายและเกมการออม (gamification) จะช่วยส่งเสริมการออมอย่างมีแรงจูงใจ
สำหรับการแข่งขัน นายอิทธินันท์มองว่า “ไม่ใช่เกมผลรวมศูนย์” แต่ควรเป็นความร่วมมือระหว่างธนาคารเสมือนจริงและธนาคารแบบดั้งเดิม เช่น การปล่อยสินเชื่อร่วม และการเปิดระบบข้อมูล (Open Banking) โดย Ascend Money จะดำเนินงานอย่างอิสระ แต่ใช้ประโยชน์จากข้อมูลเชิงลึกของ TrueMoney
ส่วนในอนาคต Ascend Money ตั้งเป้าสร้างคุณค่าที่ยั่งยืนผ่านการปล่อยสินเชื่ออย่างรับผิดชอบ และการร่วมมือกับพันธมิตร เพื่อให้ผู้กู้สามารถชำระคืนได้จริง ไม่ใช่เพียงการขยายปริมาณสินเชื่อ โดยภายใน 5 ปี ธนาคารเสมือนจริงแห่งนี้หวังจะเป็น “ผู้ให้โอกาส” สร้างการเติบโต ความเชื่อมั่น และความเปลี่ยนแปลง ไม่ใช่เพียงแค่ผู้ให้บริการทางการเงิน