โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

ไอที ธุรกิจ

ถอดบทเรียนธุรกิจ จาก 4 ‘รุ่นพี่’ สตาร์ตอัพ-SMEs

ประชาชาติธุรกิจ

อัพเดต 5 ชั่วโมงที่ผ่านมา • เผยแพร่ 5 ชั่วโมงที่ผ่านมา
จิรายุส ทรัพย์ศรีโสภา-คมสันต์ แซ่ลี-ชนิสรา วงศ์ดีประสิทธิ์-ยอด ชินสุภัคกุล

ใคร ๆ ก็บอกว่าปีนี้ 2568 เป็นปีที่ “ยาก” สำหรับคนทำธุรกิจ เพราะต้องเผชิญกับบทพิสูจน์ความเป็นผู้ประกอบการจากความท้าทายรอบด้าน ไม่ว่าจะเป็นสภาพเศรษฐกิจที่ซบเซา ทำให้มู้ดในการจับจ่ายนิ่งสนิท หรือแม้แต่การเข้ามาของเทคโนโลยี AI

ในงาน Bitkub Meetup ครั้งที่ 7 “บิทคับ” (Bitkub) แท็กทีมเหล่า “รุ่นพี่”สตาร์ตอัพ-(SMEs) มาแชร์ประสบการณ์การทำธุรกิจ เบื้องลึกเบื้องหลัง การฝ่าฟันอุปสรรคมากมายกว่าจะสัมผัสกับคำว่าสำเร็จ เพื่อเป็นบทเรียนให้ “รุ่นน้อง” ผู้ประกอบการ และคนที่มีความฝันอยากเป็น “เถ้าแก่”

ต้องมีทีมที่ “ศีลเสมอ” กัน

“ยอด ชินสุภัคกุล” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร LINE MAN Wongnai เล่าว่า ตนเป็นสตาร์ตอัพสายกระแสหลัก ไม่ได้มีเรื่องราวหวือหวาเทียบกับคนอื่น ๆ ที่บ้านเป็นชนชั้นกลาง มีเงินส่งให้เรียนต่างประเทศ เมื่อจบมาก็ไปทำงานบริษัท แต่อยากมีธุรกิจของตนเองจึงลาออกมาทำแพลตฟอร์มรีวิวร้านอาหาร “วงใน” (Wongnai) ขึ้นมา

“ช่วงแรกไม่มีอะไรง่าย ต้องยืมเงินพ่อแม่ บัญชีตัวเองกับบัญชีบริษัทปนกันไปหมด ไม่มีเงินจ่ายเงินเดือนพนักงาน ที่บ้านถามทุกวันว่าทำอะไรอยู่ เมื่อไรจะสำเร็จ มีแรงกดดันรอบตัวเยอะมาก ๆ กระทั่งเข้าสู่ปีที่ 3-4 ถึงมองเห็นลู่ทางสร้างรายได้ เริ่มมีอีโคซิสเต็มของตนเอง”

แม้ช่วงแรกจะท้อจนอยากเลิกทำทุกวัน แต่ผู้ร่วมก่อตั้ง 4 คนไม่มีใครพูดเรื่องนี้ขึ้นมาเลย ต่างช่วยกันประคับประคองธุรกิจจนถึงทุกวันนี้ ทำให้ได้เรียนรู้ว่าการมี “ทีมที่ศีลเสมอกัน” เป็นสิ่งที่สำคัญกับการทำธุรกิจมาก ๆ เพราะถ้าวันนั้นมีใครสักคนเอ่ยปากว่าจะเลิกทำ ทุกคนคงถอดใจเลิกทำกันหมดแล้ว

ทำธุรกิจต้อง “ใจกว้าง”

“ยอด” บอกด้วยว่า สิ่งที่ตนยึดถือในการทำธุรกิจมาโดยตลอด นอกจากต้องคุยกับคนเยอะ ๆ เพื่อให้เจอโอกาสใหม่ ๆ แล้วยังต้อง“ใจกว้าง” ต่อให้จนแค่ไหนก็ต้องใจกว้าง เพื่อสร้างความเชื่อใจทีม สมมุติว่ามีเงินจ่ายให้พนักงานแค่นี้ ก็ต้องแฟร์ที่จะจ่ายให้เขาก่อน เพราะคนทำงานดูออกว่าเถ้าแก่คนนี้น่าเชื่อถือไหม และจะตามไปทำงานต่อด้วยได้หรือเปล่า

หรือแม้แต่การทำงานกับพาร์ตเนอร์ก็ต้องใจกว้างไม่ต่างกัน

“เราต้องพิสูจน์ว่าตนเองเป็นพาร์ตเนอร์ที่เหมาะสมกับเขา เวลาได้โอกาสให้ทำโปรเจ็กต์อะไรมา ให้ทำด้วยความเชื่อที่ว่าเราเป็นเจ้าของงานนั้น ๆ เพื่อที่สักวันจะได้มีโอกาสเป็นเจ้าของงานเอง”

แม่ทัพ “ไลน์แมน วงใน” เล่าต่อว่า ตอนเป็นพาร์ตเนอร์กับไลน์แมนแรก ๆ ก็บอกเขาว่าเอา “ดาต้า” ที่เรามีไปใช้ฟรี ๆ ได้เลย ขอแค่ในอนาคตมีโอกาสได้ทำงานร่วมกันในโมเดล Revenue Sharing ก็พอ จากวันนั้นจนถึงวันนี้ไม่เคยคิดเหมือนกันว่าธุรกิจเราจะมาไกลมาก และธุรกิจดั้งเดิมอย่าง “วงใน” ได้กลายเป็นส่วนเล็ก ๆ ของบริษัทไปแล้ว

โอกาสของสตาร์ตอัพรุ่นใหม่

สำหรับโอกาสของสตาร์ตอัพรุ่นใหม่ “ยอด” มองว่า ถ้าเป็นธุรกิจที่จับตลาด B2C หรือเกาะเกี่ยวไปกับเศรษฐกิจดิจิทัลมีโอกาสน้อยมาก ๆ เพราะมีผู้เล่นที่แข็งแกร่งเข้ามาเติมเต็มช่องว่างในตลาดไปหมดแล้ว ส่วนตลาด B2B ยังพอมีโอกาสอยู่บ้างจากการเข้ามาของ AI

“ถ้าคิดจะทำธุรกิจเกี่ยวกับ AI ไม่อยากให้มองแค่ในประเทศ เพราะความสามารถของเทคโนโลยีสเกลไปมากกว่านั้นได้ ที่สำคัญหลายองค์กรต้องการทรานส์ฟอร์มตนเองสู่การเป็น AI-Driven Company”

บางคนบอกว่าเราโชคดีจังเลยที่ประสบความสำเร็จ และกลายเป็น “ยูนิคอร์น” แต่ผมมองว่า “โชค” คือสิ่งที่เราวิ่งตาม และไขว่คว้ามาได้สำเร็จ ส่วนตัวเชื่อว่า “โชค” จะอยู่คู่ “คนขยันและพร้อมเสมอ”

“บิตคอยน์” จุดเปลี่ยนชีวิต

ด้าน “ท๊อป-จิรายุส ทรัพย์ศรีโสภา” ผู้ก่อตั้ง และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บิทคับ แคปปิตอล กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด เล่าว่า ตนเริ่มจากการเรียนด้านเศรษฐศาสตร์ และสนใจเกี่ยวกับประวัติศาสตร์การเงินโลก พอค้นข้อมูลไปเรื่อย ๆ ก็ได้รู้จัก“บิตคอยน์” และเทคโนโลยีบล็อกเชนที่อยู่เบื้องหลัง รู้สึกว่าสิ่งนี้จะเปลี่ยนโลกการเงินในอนาคต และปลดล็อกศักยภาพของประเทศไทยในหลายด้าน

“ความสนใจเกี่ยวกับบิตคอยน์ของผมเกิดจากการ Connecting the Dot มาเรื่อย ๆ เห็นถึงประโยชน์จากการใช้บิตคอยน์ ทำให้โอนเงินไปถึงน้องสาวที่อังกฤษได้แบบเรียลไทม์ สะดวก และรวดเร็ว”

แต่วันที่เริ่มทำธุรกิจเกี่ยวกับ “บิตคอยน์” ในประเทศไทย ไม่มีอะไรง่ายสักอย่าง ตั้งแต่พ่อแม่ไม่เข้าใจว่าลูกกำลังจะทำอะไร พอเริ่มทำจริง ๆ ก็ประสบปัญหา ทั้งเรื่องข้อกฎหมาย และการเงิน

“ทำธุรกิจมา 10 เดือน ไม่มีเงินจ่ายให้ตนเองสักบาท เคยผ่านจุดที่ว่าเหลือเงินอยู่แค่ 2 เดือน แต่ต้องพาพนักงาน 80 ชีวิตให้รอดไปด้วยกัน ผมเรียกบิทคับยุคแรกว่า War Time เป็นช่วงแห่งการทำสงคราม ตอนนั้นคิดแค่ว่าทำอย่างไรก็ได้ให้บริษัทอยู่รอด”

ยุคที่ 2 คือ Growth เป็นช่วงสร้างการเติบโต ปัจจุบันเป็นยุคที่ 3 คือ Trust เป็นช่วงที่คนเห็นหน้าผมบนป้ายบิลบอร์ดเยอะมาก เพราะบิทคับกำลังสร้างสถาบันการเงินรูปแบบใหม่ การสร้างความไว้วางใจจึงเป็นสิ่งสำคัญ

ต้องมี Perfect Timing

“ท๊อป” บอกด้วยว่า การที่ตนเป็น“Face of Cryptocurrency” หรือคนที่สังคมนึกถึงเวลาพูดถึงคริปโตเคอร์เรนซี หรือสินทรัพย์ดิจิทัล เพราะ “บิทคับ” เกิดใน Perfect Timing หรือช่วงเวลาที่ดี ถ้าเกิดเร็วกว่านี้คนก็ยังไม่เข้าใจ ช้ากว่านี้ก็มีคู่แข่งมารออยู่แล้ว

ปัจจุบันยังไม่มี Face of AI หรือ Face of Longevity (การมีชีวิตที่ยืนยาว) เทรนด์เหล่านี้จึงน่าจะเป็นโอกาสของสตาร์ตอัพรุ่นใหม่ ๆ ได้

“เมื่อก่อนผมเป็นคนโลกสวย อยากทำประโยชน์ให้ประเทศต่าง ๆ นานา พอทำธุรกิจไปสักพักก็ค้นพบความจริงหลายอย่าง บางอย่างไม่เอื้อกับการทำธุรกิจของเรานัก แม้จะมีช่วงที่ท้อไปบ้าง แต่ก็เลิกไม่ได้ เพราะแบกความรับผิดชอบไว้เต็มบ่าแล้ว”

เปิดใจจบดีล “SCBX”

“ท๊อป” ยังพูดถึงดีลการลงทุนจาก SCBX กว่า 17,850 ล้านบาท ที่ไม่ได้ไปต่อด้วยว่า จุดเริ่มต้นของดีลนี้มาจากการที่ตนต้องการให้ “บิทคับ” เป็นโครงสร้างพื้นฐานด้านการเงินอีกอย่างของประเทศ ซึ่งตนเพียงลำพังคงพาธุรกิจมาได้ไกลถึงแค่จุดหนึ่งเท่านั้น จำเป็นต้องหา “ลมใต้ปีก” มาช่วยหนุนให้สิ่งที่ตั้งใจไว้เป็นจริง แม้การเข้าไปอยู่กับธนาคารดั้งเดิมจะทำให้การพัฒนานวัตกรรมใหม่ ๆ เกิดยากขึ้นก็ตาม

“วันที่มีการประกาศว่าดีลนี้ยกเลิก ทุกคนส่งข้อความมาแสดงความเสียใจเยอะมาก แต่ในฐานะคนทำดีล รู้อยู่แล้วว่าดีลไปต่อไม่ได้ ถามว่าเสียใจแค่ไหน บอกเลยว่ามีเหตุการณ์ที่ทำให้รู้สึกเจ็บกว่านี้มาตั้งเยอะ หลังเหตุการณ์นั้นผ่านไป บริษัทเราก็ยังแข็งแกร่ง และเติบโตอย่างต่อเนื่อง”

เพราะ “ไม่รู้” เลยไม่กลัว

“คมสันต์ แซ่ลี” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และผู้ก่อตั้ง บริษัท แฟลช เอ็กซ์เพรส จำกัด เล่าถึงจุดเริ่มต้นในการเข้าสู่สนามธุรกิจว่า เกิดจากความ“ไม่รู้” จึงทำไปโดยไม่กลัว ตอนนั้นเห็นแค่ว่าใน “จีน” มีคนทำแล้วประสบความสำเร็จก็อยากทำบ้าง จึงเริ่มจากก๊อบปี้แล้วค่อย ๆ ปรับไปเรื่อย ๆ

“ถ้าให้ย้อนกลับไปตอนนั้น น่าจะไม่ทำ เพราะธุรกิจนี้ใหญ่มาก ถือเป็นโครงสร้างพื้นฐานของประเทศ ยากมาก และเหนื่อยมากด้วย”

เจ็บเพราะความไม่มืออาชีพ

บทเรียนสำคัญของ “คมสันต์” ที่ได้จากการทำธุรกิจในหลายปีที่ผ่านมาคือ “ราคาของความไม่มืออาชีพ” ที่ต้องจ่าย “แพงมาก” เขาบอกว่าตนตั้งบริษัทมาจากความไม่รู้ ทำให้ต้องเผชิญกับข้อจำกัดทางกฎหมาย มีคดีความติดตัวเยอะมาก ไม่รวมกับที่ไม่มีประสบการณ์ในการบริหารงานมากพอ จนเกือบพาบริษัทก้าวผิดทางแล้ว

“ถ้าชีวิตมีทางเลือกอย่าเพิ่งตัดสินใจทำสตาร์ตอัพ ควรไปทำงานกับคอร์ปอเรต ไปเรียนรู้กับมืออาชีพก่อน เพราะความไม่มืออาชีพทำให้เราเจ็บตัวหนักมาก”

แต่แม้ว่าการทำธุรกิจจะทำให้เหนื่อยและเจ็บตัวมากก็เลิกไม่ได้ เพราะ “หนี้” เยอะเกินกว่าจะจัดการไหว ไม่ใช่แค่หนี้ที่เป็นจำนวนเงิน แต่เป็นหนี้จากความรับผิดชอบ ไม่ว่าจะเป็นสิ่งที่ตกลงไว้กับนักลงทุน และคำพูดที่ทำให้คนในองค์กรเชื่อมั่น ว่าเราจะพาเขาไปถึงฝั่งฝันได้

ควรมีแผนสองเสมอ

“คมสันต์” ฝากคำแนะนำถึงคนที่มีความฝันอยากทำธุรกิจว่า แม้ประเทศไทยจะมีผู้เล่นรายใหญ่ที่ทำธุรกิจจับตลาดต่าง ๆ ไปหมดแล้ว แต่ยังมีโอกาสซ่อนอยู่สำหรับคนตัวเล็กเสมอ เพราะกว่าคนตัวใหญ่จะขยับทำอะไรได้แต่ละที มีความเสี่ยงที่ต้องแบกรับเยอะมาก และบางอย่างที่เขาทำก็ล้มง่ายกว่าที่คิด

“โอกาสของคนตัวเล็ก ไม่ใช่การไปตั้งแถวใหม่ แต่เป็นการเข้าแถวกับคนที่พร้อมจะขยายตลาดเข้ามามากกว่า”

ที่สำคัญสตาร์ตอัพควรมี “แผนสอง” เสมอ เพราะไม่ว่าจะวางแผนไว้ดีแค่ไหน พอถึงเวลาจริง ๆ มักไม่มีอะไรเป็นไปตามแผนสักอย่าง

“ฟังดูอาจเป็นเรื่องตลก แต่ก่อนที่จะเริ่มทำธุรกิจอะไรสักอย่าง ให้ โทร.ไปยืมเงินทุกคนที่รู้จัก เพราะได้ใช้เงินทุกบาททุกสตางค์แน่ ๆ ทั้งยังเป็นการเช็กเครดิตด้วยว่าเราพร้อมในสายตาคนอื่นแค่ไหน”

บริหารทีมสไตล์ “ฟรีแลนซ์”

“อูน-ชนิสรา วงศ์ดีประสิทธิ์” ผู้ร่วมก่อตั้งบริษัท บรันช์ไทม์ จำกัด เจ้าของแบรนด์ Diamond Grains, ผักฉ่ำคำหอม และ Moleculogy เล่าถึงวิธีการบริหารงานของตนเองว่า การที่บริษัทมีหลายแบรนด์อยู่ในพอร์ต นอกจากเพื่อกระจายความเสี่ยงไปในหลายอุตสาหกรรมแล้ว ยังทำให้องค์กรมีไดนามิก เพราะทีมมีโอกาสคิดงานหลากหลาย ไม่จำกัดอยู่ที่แบรนด์ใดแบรนด์หนึ่ง

โดยทุกแบรนด์ที่อยู่ภายใต้การบริหารงานของ “บรันช์ไทม์” จะมาจากการทำงานของทีมเดียว ปัจจุบันมีทีมงานราว 200 คน เป็นทีมการตลาด และคอนเทนต์ประมาณ 30 คน

“อูนเชื่อว่าสมองคนเราไม่ได้ถูกออกแบบให้ทำงานซ้ำ ๆ ถ้าวันไหนคิดงานเดิมไม่ออก ก็แค่มูฟไปคิดสิ่งใหม่ จึงพยายามมองว่าทุกคนในองค์กรเป็นฟรีแลนซ์ ที่มีโอกาสเวียนไปทำโปรเจ็กต์ของแบรนด์ต่าง ๆ ไม่ใช่อยู่แต่กับฟู้ด ก็แก้ปัญหาแค่กับฟู้ด”

ทำงานแบบไม่มี KPI

“อูน” บอกด้วยว่า ตนเป็นสายครีเอทีฟ ที่ให้ความสำคัญกับการพัฒนาสินค้ามาก และจะไม่วาง KPI ในการทำงานเลย เพราะมองว่าถ้ามี KPI มาครอบจะไม่มีเวลาใส่ใจกับการพัฒนาสินค้าให้มีคุณภาพ ซึ่งการทำงานกับทีมก็ใช้วิธีนี้เช่นกัน เพราะทุกคนจะรู้อยู่แล้วว่าจังหวะนี้บริษัทต้องการผลักดัน หรือสื่อสารเรื่องอะไรออกไป

“เวลามีน้อง ๆ เข้ามาใหม่ เขายังไม่รู้หรอกว่าตนเองชอบอะไร หรืออยากทำงานกับแบรนด์ไหนมากที่สุด เราก็จะให้ผลิตภัณฑ์ทุกตัวไปลองเทสต์ และทดลองทำคอนเทนต์ 1-2 เดือน ภายใต้
งบฯที่บริษัทมีให้ ถ้าทำแล้วเฟลเขาก็จะเรียนรู้ว่าต่อไปทำแบบไหนถึงจะดี”

หลักการทำธุรกิจของเธอ คือเรียนรู้ที่จะมีความสุขให้เป็น ขอแค่แต่ละวันตื่นมามีกิน มีใช้ มีเงินไปทำสิ่งที่ชอบก็พอ และต้องรู้สึกถึงความรับผิดชอบในการทำธุรกิจ เพื่อตอบแทนพระคุณคนในโลกธุรกิจ หรือลูกค้าที่ให้โอกาสตั้งแต่วันแรกที่ยังทำอะไรไม่เป็นเลย

เรียนรู้ที่จะตัด “วัชพืช”

วิธีบริหารทีมให้ทำงานได้อย่างราบรื่น “อูน” เปรียบเทียบว่าบริษัทก็เหมือน “ป่า” คนหรือ “ต้นไม้” จะโตได้ต้องมีระบบนิเวศที่ดี ตนเชื่อว่าคนจะมีใจมาทำงานก็ต่อเมื่อสภาพแวดล้อมส่งเสริมให้ทำงานอย่างมีความสุข รวมถึงเป็นรากฐานให้เติบโต และต่อยอดสิ่งที่อยากทำในอนาคตได้

“เราที่เป็นเจ้าของป่าก็ต้องเรียนรู้ที่จะตัดวัชพืช หรือคนที่ไม่ใช่ออกจากองค์กร จริง ๆ เขาไม่ผิด แต่แค่อยู่กับเราแล้วโตไม่ได้ พอไปอยู่กับคนอื่นก็โตมากกว่า บางคนมองว่าการที่องค์กรไม่เจอปัญหาอะไรเลยเป็นเรื่องที่ดี แต่สำหรับอูน ถ้าไม่มีปัญหาเลยเท่ากับเราไม่ได้ลงมือทำสิ่งใหม่ ๆ เพื่อสร้างการเติบโต เราควรมี Healthy Relationship กับปัญหา เพื่อเรียนรู้ว่าอะไรคือสิ่งที่ใช่หรือไม่ใช่”

อ่านข่าวต้นฉบับได้ที่ : ถอดบทเรียนธุรกิจ จาก 4 ‘รุ่นพี่’ สตาร์ตอัพ-SMEs

ติดตามข่าวล่าสุดได้ทุกวัน ที่นี่
– Website : https://www.prachachat.net

ดูข่าวต้นฉบับ
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...

ล่าสุดจาก ประชาชาติธุรกิจ

แรงงานกัมพูชากลับบ้าน ธุรกิจไทยระส่ำ บ.เอเจนซี่ ชี้ ศรีลังกาเปทางเลือก

47 นาทีที่แล้ว

ดอลลาร์ทรงตัว ท่ามกลางความกังวลเรื่องความเป็นอิสระของเฟด

53 นาทีที่แล้ว

Gen Z บูชาความรัก ฉีกกฎเดิม-ใช้ชีวิต AI

1 ชั่วโมงที่ผ่านมา

อีซูซุ โชว์รถแต่งเอาใจคอสปอร์ตเรซซิ่ง ในงาน ‘Bangkok Auto Salon 2025”

2 ชั่วโมงที่ผ่านมา

วิดีโอแนะนำ

ข่าวและบทความไอที ธุรกิจอื่น ๆ

TOP ควัก 6.5 พันล้าน รวบซื้อคืน “ดอลลาร์บอนด์” 4 ชุด ประเดิมวันนี้ถึง 25 ก.ย. 68

ข่าวหุ้นธุรกิจ

ราคาน้ำมันวันพรุ่งนี้ 28 ส.ค. เช็กราคาเบนซิน-ดีเซล-แก๊สโซฮอล์ล่าสุดที่นี่

The Bangkok Insight

“เผ่าภูมิ” ปลื้ม! เศรษฐกิจปี 68 โตเกินคาด ขานรับมาตรการรัฐ–ส่งออกแข่งคู่แข่งได้

ข่าวหุ้นธุรกิจ

แรงงานกัมพูชากลับบ้าน ธุรกิจไทยระส่ำ บ.เอเจนซี่ ชี้ ศรีลังกาเปทางเลือก

ประชาชาติธุรกิจ

“กลุ่มรพ.” ชูศักยภาพแพทย์ไทย ดันสู่ศูนย์กลางสุขภาพโลก

ข่าวหุ้นธุรกิจ

“ฉันทวิชญ์” ชี้ ไทยต้องพร้อมรับมือจุดเปลี่ยนการค้าโลก

กรุงเทพธุรกิจ

"โรบินสันไลฟ์สไตล์" เปิดเกมรุกไตรมาสสุดท้ายของปี ชูกลยุทธ์ ‘Lifestyle & Experiential Community’

สยามรัฐ

“บล.บัวหลวง” ปรับทัพบริหาร ดัน “ชัยพร” นั่งกรรมการผู้จัดการ มีผลทันที

ข่าวหุ้นธุรกิจ

ข่าวและบทความยอดนิยม

ลุ้นแพ็กเกจมือถือธงฟ้า ไปต่อที่ราคา 210 บาท

ประชาชาติธุรกิจ

ถอดบทเรียนธุรกิจ จาก 4 ‘รุ่นพี่’ สตาร์ตอัพ-SMEs

ประชาชาติธุรกิจ

ก.ล.ต. งัดมาตรการสร้างเสน่ห์ตลาดทุนไทย แถลงร่วม 4 หน่วยงาน 15 ก.ย.นี้

ประชาชาติธุรกิจ
ดูเพิ่ม
Loading...
Loading...
Loading...
รีโพสต์ (0)
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...