BOI ชู 4 จุดแข็ง ดึง FDI เข้าไทย ชูดาต้าเซนเตอร์ - อิเล็กทรอนิกส์ เด่น
นายนฤตม์ เทอดสถีรศักดิ์ เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) กล่าวในหัวข้อ Thailand’s Competitiveness & Investment outlook ในงาน Thailand Focus 2025 วันนี้ (27 ส.ค.68) ว่าความสามารถในการแข่งขันของประเทศไทยนั้นยังอยู่ในเกณฑ์ที่น่าพอใจ โดยเมื่อมองจากการส่งเสริมการลงทุนเข้าสู่ประเทศไทย โดยเมื่อดูสถิติในรอบ 10 ปีย้อนหลัง โดยเมื่อปีที่ผ่านมา มีคำขอรับการส่งเสริมการลงทุนมากกว่า 1 ล้านล้านบาท หรือ 34,000 ล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 35% และสำหรับการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) ก็เพิ่มขึ้น 25% เช่นกัน และแรงส่งนี้ยังคงดำเนินต่อไปในช่วงครึ่งแรกของปีนี้ โดยมีคำขอรับการส่งเสริมการลงทุนกว่า 32,000 ล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 139% จากช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว โดยตัวเลขเหล่านี้สะท้อนถึงความไว้วางใจ และความเชื่อมั่นอย่างสูงที่นักลงทุนมีต่อประเทศไทย และผู้ลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ 5 อันดับแรกในไทย ได้แก่ สิงคโปร์ จีน ฮ่องกง ไต้หวัน และญี่ปุ่น ขณะที่แง่ของภาคอุตสาหกรรม อิเล็กทรอนิกส์ ดิจิทัล และยานยนต์ ยังคงเป็นตัวขับเคลื่อนหลักของการลงทุนในประเทศไทย
สำหรับจุดแข็งหรือข้อได้เปรียบในการแข่งขันของประเทศไทยท่ามกลางความท้าทาย และความไม่แน่นอนของโลก บีโอไอเชื่อว่าประเทศไทยจะเป็นจุดหมายปลายทางที่เหมาะสมสำหรับนักลงทุนที่กำลังมองหาสถานที่ที่มีรากฐานที่แข็งแกร่ง มีความยืดหยุ่น และคุ้มค่ากับการลงทุน โดยมีจุดแข็ง 4 ด้านได้แก่
1.โครงสร้างพื้นฐานที่พัฒนามาอย่างดี ซึ่งรวมถึงท่าเรือน้ำลึก สนามบินนานาชาติ และเรามีนิคมอุตสาหกรรมมากกว่า 70 แห่งทั่วประเทศ นอกจากนี้ เรายังมีโครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัลที่พัฒนาแล้ว และศูนย์ข้อมูล (Data Center) ชั้นนำ ซึ่งนักลงทุนรายใหญ่ เช่น True Corporation และ Huawei อาจจะให้รายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับธุรกิจศูนย์ข้อมูลในประเทศไทยได้
2.ในด้านการเข้าถึงตลาด เรามีข้อตกลงการค้าเสรี (FTA) 17 ฉบับกับ 24 ประเทศ และขณะนี้รัฐบาลไทยกำลังเร่งการเจรจากับคู่ค้าสำคัญๆ เช่น สหภาพยุโรป แคนาดา และเกาหลี นอกจากนี้เรายังเป็นหนึ่งในสมาชิกของความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจระดับภูมิภาค (RCEP) ซึ่งเป็นกลุ่มการค้าที่ใหญ่ที่สุดในโลก
3.ประเทศไทยมีห่วงโซ่อุปทานที่แข็งแกร่ง โดยเฉพาะสำหรับอุตสาหกรรมยานยนต์ อิเล็กทรอนิกส์ และเคมีภัณฑ์ ซึ่งเป็นรากฐานที่ดีสำหรับอุตสาหกรรมใหม่ๆ เช่น ยานยนต์ไฟฟ้า (EV) เซมิคอนดักเตอร์ และอิเล็กทรอนิกส์ขั้นสูง
4.ระบบนิเวศของประเทศไทย ที่เหมาะสมส่งเสริมการลงทุน ได้แก่ การมีพลังงานสะอาดที่ถือเป็นจุดแข็ง และประเทศไทยเรากำลังริเริ่มกลไกใหม่เพื่อจัดหาพลังงานสะอาดให้กับภาคธุรกิจ เช่น UGT หรือ Utility Green Tariff ซึ่งจะช่วยให้ธุรกิจสามารถซื้อพลังงานสะอาดจากแหล่งผลิตเดิม และแหล่งใหม่ พร้อมกับใบรับรองพลังงานหมุนเวียน (Renewable Energy Certificates) และเรายังเสนอสัญญาซื้อขายไฟฟ้าโดยตรง (Direct PPA) โดยรัฐบาลได้จัดสรรโควตา 2,000 เมกะวัตต์สำหรับธุรกิจดาต้าเซนเตอร์ โดยสัญญา PPA แบบนี้จะช่วยให้ผู้ใช้พลังงานรายใหญ่สามารถทำสัญญากับผู้ผลิตพลังงานหมุนเวียนได้โดยตรงผ่านโครงข่ายไฟฟ้าของรัฐ
และ 4.ในส่วนของบุคลากรที่มีความสามารถ ประเทศไทยผลิตผู้สำเร็จการศึกษาในสาขา “STEM” (วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี วิศวกรรมศาสตร์ และคณิตศาสตร์) อย่างน้อย 100,000 คนต่อปี และบีโอไอก็กำลังร่วมมือกับกระทรวงการอุดมศึกษาฯ เพื่อดำเนินโครงการพิเศษในการพัฒนาบุคลากรสำหรับอุตสาหกรรมใหม่ๆ เช่น เซมิคอนดักเตอร์ ยานยนต์ไฟฟ้า และเทคโนโลยี AI
นอกจากนี้ในด้านการสนับสนุนจากภาครัฐ เราให้การสนับสนุนอย่างเต็มที่แก่นักลงทุน โดยเฉพาะอย่างยิ่งบีโอไอ เราให้สิทธิประโยชน์ทั้งทางภาษี และไม่ใช่ภาษี รวมถึงสิ่งจูงใจทางการเงินผ่านกองทุนเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน และเรายังมุ่งเน้นเรื่องความสะดวกในการประกอบธุรกิจ ตัวอย่างที่ดีอย่างหนึ่งคือ การจัดตั้งศูนย์บริการการลงทุน และแรงงานต่างชาติของประเทศไทย ซึ่งเพิ่งเปิดทำการเมื่อเดือนมีนาคม ปีนี้ที่อาคารวัน แบงค็อก ศูนย์แห่งนี้จะรวมบริการแบบเบ็ดเสร็จ (One-Stop Service) สำหรับวีซ่า และใบอนุญาตทำงาน และบริการแบบเบ็ดเสร็จสำหรับการให้คำปรึกษาด้านการลงทุนไว้ด้วยกัน
นอกจากนี้ บีโอไอยังได้ริเริ่มวีซ่าผู้พำนักระยะยาว (Long-Term Resident Visa) ซึ่งเป็นวีซ่าอายุ 10 ปีพร้อมใบอนุญาตทำงานแบบดิจิทัลสำหรับกลุ่มเป้าหมาย 4 กลุ่ม ได้แก่ กลุ่มผู้เกษียณอายุที่มีฐานะดี, กลุ่มพลเมืองโลกผู้มีฐานะดี, กลุ่มผู้เชี่ยวชาญทักษะสูง และกลุ่มผู้ทำงานจากที่ไหนก็ได้ในประเทศไทย (Work-from-Thailand professional)
ดังนั้น นอกจากปัจจัยที่ผมได้กล่าวไปแล้ว ประเทศไทยยังได้รับการจัดอันดับให้เป็นประเทศที่ดีที่สุดในการเริ่มต้นธุรกิจโดย U.S. News และในแง่ของความเชื่อมั่นของนักลงทุน เราได้รับการจัดอันดับเป็นที่ 1 ในอาเซียนและที่ 10 ของโลกในดัชนีความเชื่อมั่นการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI Confidence Index) โดยเคอร์นีย์ (Kearney) และสำหรับเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDG) เราได้รับการจัดอันดับเป็นที่ 1 ในอาเซียน ซึ่งหมายความว่าเราพร้อมที่จะก้าวสู่เศรษฐกิจสีเขียว
นอกจากนี้ ประเทศไทยยังคงเป็นหนึ่งในประเทศที่น่าอยู่ที่สุดในโลก เราได้รับการจัดอันดับที่ 6 ของโลกในฐานะจุดหมายปลายทางที่ดีที่สุดสำหรับชาวต่างชาติที่มาทำงาน (Expat) ทั้งหมดนี้คือ ความได้เปรียบในการแข่งขันของประเทศไทย และเป็นเหตุผลว่าทำไมองค์กรข้ามชาติจำนวนมากจึงเลือกประเทศไทยเป็นบ้านหลังที่สองในการเข้ามาลงทุน
พิสูจน์อักษร….สุรีย์ ศิลาวงษ์