‘ทนายนิด้า’ ชี้ปม ‘วรสุดา’ ถือครองที่ดินแทนมูลนิธิ ส่อไร้เหตุผล-ขาดความโปร่งใส
จากกรณี "หลวงพ่ออลงกต" เจ้าอาวาสวัดพระบาทน้ำพุ มอบหมายให้ไวยาวัจกร ชี้แจงสื่อมวลชน ปมมีรายชื่อหญิงสาวถือครองที่ดินวัด 2 พันไร่ ยํ้าไม่ได้กังวล เพราะเป็นเด็กที่เก็บมาเลี้ยงตั้งแต่เล็ก ยืนยันทุกคนต้องทำตามวัตถุประสงค์หลวงพ่อ ตามที่ข่าวเสนอไปก่อนหน้านี้
อ่านข่าวต่อ : ‘หลวงพ่ออลงกต’ ให้ไวยาวัจกรตอบแทน ปมหญิงสาวถือครองที่ดินวัด 2 พันไร่
เมื่อวันที่ 12 ส.ค. 68 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า “ทนายนิด้า” หรือ “ศรันยา หวังสุขเจริญ” ได้ออกมาโพสต์ตั้งข้อสงสัยกรณีพระให้ “วรสุดา” ถือครองที่ดินแทนมูลนิธิ อ้างเหตุซื้อตอนมูลนิธิยังไม่จดทะเบียน ชี้หากเป็นทรัพย์มูลนิธิจริง ไม่จำเป็นต้องทำพินัยกรรมยกให้ และวรสุดาไม่มีสิทธิจัดการในทรัพย์ที่ไม่ใช่ของตน มองพฤติกรรมยากจะตีความในแง่ดี เพราะไม่มีการปกป้องสิทธิของมูลนิธิ และมีวิธีที่โปร่งใสกว่านี้ แต่ไม่เลือกใช้ ทำให้เกิดข้อกังขาเจตนาตั้งแต่แรก ลงแฟนเพจ“ทนายนิด้า”
โดยทนายนิด้า อธิบายว่า "พระอ้างว่าตอนซื้อที่ยังไม่จดมูลนิธิ เป็นเหตุผลว่าทำไมที่ดินเป็นชื่อวรสุดา ข้อเท็จจริงดังกล่าวถือว่าที่ดินเป็นของมูลนิธิ ไม่ใช่ของวรสุดา การที่วรสุดามีชื่อในโฉนด จึงชัดเจนว่าไม่ได้แปลว่าเป็นเจ้าของที่ดิน แต่เป็นการถือแทนมูลนิธิ เมื่อที่ดินเป็นของมูลนิธิจึงไม่มีเหตุผล ที่จะต้องทำพินัยกรรมยกที่ดินให้มูลนิธิ เพราะวรสุดาจะทำพินัยกรรมยกทรัพย์สินให้ใครได้ ต่อเมื่อเป็นทรัพย์สินของตัวเอง ไม่ใช่เอาของคนอื่นมายกให้ใคร"
นอกจากนี้ "การที่วรสุดาอ้างว่าทำพินัยกรรมยกที่ให้มูลนิธิเมื่อตาย จึงแปลความหมายได้ 2 ประการ ประการแรกต้องมองแง่ดีมากๆ ว่าที่วรสุดาต้องมาทำพินัยกรรมยกที่ดินให้วัด ไม่ใช่เพราะตอนรับโอนมีความเข้าใจว่าเป็นของตนเอง แต่เป็นเพราะไม่ทราบกฎหมาย ว่าการถือแทนกันตอนแรก จะสามารถโอนกลับมาที่มูลนิธิได้โดยไม่ต้องรอตาย และที่พระไม่ยอมทวงก็เพราะคิดว่าต้องรอจนกว่าวรสุดาจะตาย"
"ส่วนประการที่สอง ไม่ต้องถึงขนาดมองแง่ร้าย ก็พอจะแปลเจตนาได้ว่าวรสุดารับโอนที่ดินมา ถ้าไม่ใช่ถือเพื่อตนเองก็ถือแทนพระ ที่หมายถึงในนามส่วนตัว (ไม่ใช่มูลนิธิ) ตั้งแต่แรกแล้ว เป็นเหตุให้ตลอดมาวรสุดาก็ยังไม่โอนคืน และพระก็ไม่ทวงคืน ทั้งที่ตามปกติย่อมต้องรักษาผลประโยชน์ให้แก่มูลนิธิด้วยกันทั้ง 2 คน พฤติกรรมดังกล่าว ส่วนตัวทำใจมองแง่ดีตามข้อแรกได้ยากจริง ยิ่งถ้าไม่มีข้อเท็จจริง ว่าพระเคยมีหนังสือเรียกคืนที่ดิน ไม่เคยฟ้องเรียกคืนที่ดิน ไม่มีข้อเท็จจริงว่าดำเนินการใดเพื่อรักษาสิทธิให้แก่มูลนิธิในที่ดินจากวรสุดา"
นอกจากนี้"แล้วเกิดพระตายก่อนวรสุดา ใครจะเป็นผู้รู้ข้อเท็จจริงที่เมื่อมีปัญหา ต้องฟ้องเรียกที่ดินจากวรสุดาคืน หรือต่อให้วรสุดาตาย แม้จะมีพินัยกรรม ทายาทแกล้งมาฟ้องว่าพินัยกรรมปลอม สืบวุ่นวายไปหมดที่พระจะเรียกเอาที่ดินคืนจากวรสุดา ยกตัวอย่างแค่นี้พอ"
อย่างไรก็ตาม "เอาจริงๆ มันไม่มีเหตุผลที่ดีพอ ที่จะให้วรสุดาถือกรรมสิทธิ์แทนตั้งแต่แรกอยู่แล้ว มันมีวิธีที่ง่ายและโปร่งใสกว่านั้นอีกตั้งหลายทาง แต่ไม่เลือกจะใช้ นี่พูดแค่ประเด็นเดียว ยังคิดดีไม่ได้เลย วิญญูชนสุจริตเขาทำเรื่องยากให้ง่าย ที่ทำเรื่องง่ายให้ยากเคยเห็นแต่โจร"
ขอบคุณข้อมูล : ทนายนิด้า