ทำความเข้าใจ Liquid Staking และ Restaking กลไกใหม่แห่งโลก DeFi
#คริปโทเคอร์เรนซี #ทันหุ้น – บล็อกเชนที่ใช้รูปแบบ Proof of Stake (PoS) มีกลไกให้ผู้ใช้งานนำเหรียญของตนเองไปวางค้ำประกัน หรือที่เรียกว่า Stake เพื่อทำหน้าที่เป็น Node Validator และรับผลตอบแทน อย่างเช่นในเครือข่าย Ethereum โดยมีข้อจำกัดที่ว่าเหรียญที่นำไป Stake บน Mainnet แล้วจะไม่สามารถถอนออกได้ก่อนกำหนด หรือนำไปใช้ประโยชน์อย่างอื่นได้ รวมถึงต้องใช้เงินขั้นต่ำในการ Stake ที่ค่อนข้างสูง
จากข้อจำกัดดังกล่าว จึงเกิดเทคโนโลยีที่มาต่อยอด นั่นคือ Liquid Staking หรือการมีตัวกลางเข้ามารับช่วงต่อการ Stake จาก Mainnet และต่อมาได้ถูกพัฒนาเป็น Restaking เพื่อสร้างผลตอบแทนต่อเนื่องจากเหรียญที่ถูก Stake อยู่แล้ว
Liquid Staking คือกลไกที่มีตัวกลางเข้ามารับช่วงต่อการ Stake เหรียญจาก Mainnet อีกทอดหนึ่ง โดยมีข้อได้เปรียบคือผู้ใช้งานสามารถถอนเหรียญที่นำไป Stake ได้ทุกเมื่อ และไม่มีข้อจำกัดด้านวงเงินขั้นต่ำ แพลตฟอร์ม Liquid Staking ที่ได้รับความนิยมมากที่สุดคือ Lido DAO ซึ่งมีมูลค่าเหรียญที่ถูก Stake ไว้สูงกว่า 40,000 ล้านดอลลาร์ ในปัจจุบัน
ขณะที่ Restaking คือการนำเหรียญที่ถูก Stake มาสร้างผลตอบแทนเพิ่มเติมอีกชั้น ด้วยการนำไป Stake ในแพลตฟอร์มอื่นเพื่อให้ได้รับผลตอบแทนที่สูงขึ้น เป็นการลดข้อจำกัดที่ปกติแล้วเหรียญที่ถูก Stake จะไม่สามารถนำไปใช้ประโยชน์อย่างอื่นได้ โดยโปรโตคอลที่เป็นผู้นำในตลาด Restaking คือ EigenLayer
ทั้ง Liquid Staking และ Restaking ถือเป็นกลไกสำคัญของระบบการเงินไร้ศูนย์กลาง หรือ Decentralized Finance (DeFi) ที่เกิดขึ้นในช่วงสามปีที่ผ่านมา และมีการเติบโตอย่างรวดเร็วจนมีมูลค่าสินทรัพย์ที่ถูกล็อกไว้ (Total Value Locked หรือ TVL) สูงที่สุดในบรรดาแพลตฟอร์ม DeFi ทั้งหมด
แนวโน้มของเทคโนโลยี Liquid Staking และ Restaking มีโอกาสเติบโตสูงในยุคที่ Ethereum ได้รับการยอมรับจากนักลงทุนสถาบันและสถาบันการเงินในการผลิตเหรียญ Stablecoin โดยมีโอกาสสูงที่นักลงทุนใน Ethereum ETF และเหรียญอื่น ๆ ที่ใช้กลไก Proof of Stake จะได้รับผลตอบแทนจากการ Staking ไปด้วย รวมถึงสถาบันการเงินอาจนำ Stablecoin มาลงทุนในสองแพลตฟอร์มดังกล่าวมากขึ้น