5 แนวทางรับมือและป้องกัน ‘ภาวะหัวใจหยุดเต้นเฉียบพลัน
นพ.ฆนัท ครุธกูล อายุรแพทย์โรคหัวใจ และนายกสมาคมโภชนาการเพื่อกีฬาและสุขภาพ โพสต์ผ่านเพจเฟซบุ๊ก “ฟิตร่าง สร้างสุขภาพ กับหมอฆนัท” ถึงภาวะหัวใจหยุดเต้นเฉียบพลันในนักกีฬา ซึ่งพบได้บ่อยขึ้นในปัจจุบัน ว่า ในโลกของกีฬา ภาพของนักกีฬาที่ฟิตสมบูรณ์ แข็งแรง และเต็มไปด้วยพลังชีวิต มักจะเป็นภาพที่เราเชื่อมโยงกับสุขภาพที่ดีและอายุยืนยาว แต่ความจริงนั้นอาจโหดร้ายกว่าที่คิด เมื่อปรากฏว่า “ภาวะหัวใจหยุดเต้นเฉียบพลัน” (Sudden Cardiac Arrest: SCA) กลายเป็นหนึ่งในสาเหตุการเสียชีวิตที่น่าตกใจในหมู่นักกีฬาทั่วโลก แม้กระทั่งในเวทีระดับสูงสุดอย่างพรีเมียร์ลีกอังกฤษ
หนึ่งในกรณีที่ยังคงเป็นบทเรียนสำคัญมาจนถึงทุกวันนี้ คือ เหตุการณ์เมื่อปี 2012 ของ ฟาบริซ มูอัมบา กองกลางของทีมโบลตัน วันเดอเรอร์ส ขณะกำลังแข่งขันในศึกเอฟเอคัพ กับท็อตแนม ฮอตสเปอร์ มูอัมบาล้มลงกลางสนามต่อหน้าผู้ชมและผู้เล่นนับพัน หัวใจของเขาหยุดเต้นไปนานถึง 78 นาที จากภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะชนิดรุนแรง แต่ด้วยความพร้อมของทีมแพทย์ การทำ CPR อย่างต่อเนื่อง และการใช้เครื่องกระตุ้นหัวใจไฟฟ้าอัตโนมัติ (AED) หลายครั้ง เขาถูกช่วยกลับคืนมาได้อย่างเหลือเชื่อ
เกือบทศวรรษต่อมา เหตุการณ์คล้ายกันเกิดขึ้นในการแข่งขันยูโร 2020 เมื่อ คริสเตียน อีริกเซ่น เพลย์เมกเกอร์ทีมชาติเดนมาร์ก ล้มลงกลางสนามด้วยอาการเดียวกัน ทีมแพทย์สนามให้การช่วยเหลืออย่างเป็นระบบภายในไม่กี่นาที ใช้ AED และ CPR อย่างต่อเนื่อง จนเขารอดชีวิตกลับมา และสามารถกลับมาเล่นฟุตบอลอาชีพในพรีเมียร์ลีกกับแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดได้ในเวลาต่อมา
หรือการเสียชีวิตชอร์เก้ คอสต้า อดีตกองหลังเอฟซี ปอร์โต้ ชุดแชมป์ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก ปี 2004 ที่เสียชีวิตในวัย 53 ปี จากภาวะหัวใจหยุดเต้นเฉียบพลัน ที่สนามซ้อมของปอร์โต้ เมื่อวันที่ 5 สิงหาคม
ทั้งสามเหตุการณ์นี้กลายเป็นกรณีศึกษาสำคัญของวงการแพทย์กีฬา และเป็นเครื่องย้ำเตือนว่า “ภาวะหัวใจหยุดเต้นเฉียบพลัน” ไม่เลือกอายุ เพศ หรือระดับความฟิตของร่างกาย และสิ่งที่สามารถเปลี่ยนผลลัพธ์จากโศกนาฏกรรมให้กลายเป็นปาฏิหาริย์ได้ คือ ความพร้อมของระบบการช่วยชีวิตฉุกเฉิน โดยเฉพาะ AED และคนที่กล้าเข้าไปช่วยทันที
ในแง่ทางการแพทย์ ภาวะนี้มักเกิดจากความผิดปกติของระบบไฟฟ้าหัวใจที่ซ่อนอยู่ เช่น กล้ามเนื้อหัวใจหนาเกิน (Hypertrophic Cardiomyopathy) ภาวะหลอดเลือดหัวใจผิดปกติตั้งแต่กำเนิด กลุ่มโรคหัวใจเต้นผิดจังหวะ เช่น Brugada Syndrome, Long QT Syndrome ซึ่งอาจไม่แสดงอาการใดๆ มาก่อนเลย
สัญญาณเตือนภาวะหัวใจหยุดเต้นเฉียบพลันอาจไม่ชัดเจนหรือไม่มีเลยในหลายกรณี แต่บางคนอาจพบสัญญาณเตือนล่วงหน้าที่ควรระวัง เช่น เหนื่อยง่าย อ่อนเพลีย มีอาการแน่นหน้าอก เวลาที่มีภาวะเครียดหรือออกแรง แล้วอาการดีขึ้นเมื่อพัก ใจสั่น รู้สึกเวียนหัวหรืออ่อนแรง เจ็บหน้าอก หรือหายใจลำบาก คลื่นไส้อาเจียน
สำหรับแนวทางการป้องกันภาวะหัวใจหยุดเต้นเฉียบพลันในนักกีฬาจึงต้องประกอบด้วย 3 แนวหลัก ดังนี้
1.การตรวจคัดกรองก่อนเข้าร่วมกีฬา (Pre-Participation Screening) ควรมีการซักประวัติอย่างละเอียดเกี่ยวกับอาการใจสั่น เหนื่อยง่าย เป็นลมขณะออกแรง หรือประวัติเสียชีวิตกะทันหันในครอบครัว และควรตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ (EKG) อย่างน้อย 1 ครั้งในช่วงวัยรุ่นหรือก่อนเริ่มแข่งขันอย่างจริงจัง
2.ความพร้อมของอุปกรณ์และทีมช่วยชีวิตในสนาม ทุกสนามกีฬา โรงเรียน หรือสถานที่จัดกิจกรรมควรมี เครื่อง AED ประจำอยู่ในที่เข้าถึงง่าย และมีบุคลากรที่ผ่านการอบรมการทำ CPR อย่างถูกวิธี
สำหรับเครื่อง AED ใช้งานง่าย แม้ประชาชนทั่วไปก็สามารถเรียนรู้วิธีใช้ได้ภายในเวลาไม่ถึงชั่วโมง แต่สามารถ “เปลี่ยนชีวิต” ได้ในนาทีที่หัวใจหยุดเต้น
3.การสร้างวัฒนธรรมความเข้าใจในอาการอันตราย ควรส่งเสริมให้นักกีฬา ผู้ปกครอง โค้ช และผู้เกี่ยวข้องตื่นตัวกับอาการผิดปกติเล็กน้อย เช่น เหนื่อยกว่าปกติ ใจสั่น เจ็บหน้าอก หรือเป็นลมขณะออกแรง และกล้าตัดสินใจ “หยุดพัก” หรือเข้ารับการตรวจเพิ่มเติมเมื่อมีสัญญาณเตือน
4.การติดตามการเต้นของหัวใจด้วยอุปกรณ์บันทึกแบบพกพาในนักกีฬาที่มีความเสี่ยง เพื่อตรวจจับการเต้นผิดปกติและลดโอกาสเกิดเหตุฉุกเฉิน
5.การหลีกเลี่ยงการออกกำลังกายที่มีความเข้มข้นสูงหรือกระตุ้นหัวใจเกินพอดีในผู้มีโรคหัวใจ หรือคนที่มีความเสี่ยงสูง