รัฐบาลทรัมป์ เล็งเข้าถือหุ้นในบริษัทกลาโหมรายใหญ่ Lockheed Martin-Boeing-Palantir
รัฐบาลทรัมป์ กำลังพิจารณาถือหุ้นในบริษัทกลาโหมรายใหญ่ เช่น Lockheed Martin, Boeing และ Palantir นักวิชาการเตือนอาจกระทบความเป็นอิสระและยุทธศาสตร์ด้านความมั่นคงของประเทศ
วันที่ 27 สิงหาคม 2568 เวลา 03.28 น. สำนักข่าวรอยเตอร์รายงานว่า โฮเวิร์ด ลัทนิค รัฐมนตรีพาณิชย์สหรัฐ กล่าวถึงปกป้องแนวทางของทรัมป์ที่ผลักดันให้รัฐบาลมีบทบาทมากขึ้นในภาคธุรกิจอเมริกันว่า รัฐบาลสหรัฐ ภายใต้การนำของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ กำลังพิจารณาที่จะเข้าถือหุ้นในบริษัทผู้รับเหมาด้านการป้องกันประเทศรายใหญ่ รวมถึง ล็อกฮีด มาร์ติน (Lockheed Martin Corp)
“พวกเขากำลังคิดเรื่องนี้อยู่” ลัทนิคให้สัมภาษณ์กับ CNBC เมื่อถูกถามว่ารัฐบาลกำลังพิจารณาเข้าถือหุ้นในผู้รับเหมารายใหญ่อย่าง Lockheed Martin, Boeing หรือ Palantir Technologies หรือไม่ พร้อมระบุว่า “ยังมีการหารืออีกมากว่าจะจัดหาเงินทุนเพื่อซื้ออาวุธยุทโธปกรณ์อย่างไร”
“นี่คือการถกเถียงครั้งใหญ่เกี่ยวกับกลาโหม ล็อกฮีด มาร์ตินทำรายได้ถึง 97% จากรัฐบาลสหรัฐ พวกเขาแทบจะเป็นส่วนหนึ่งของรัฐบาลอยู่แล้ว”
หลังจากถ้อยแถลงดังกล่าวหุ้น Lockheed Martin ปรับตัวขึ้น 1.6% โดยบริษัทออกแถลงการณ์ว่า “เรายังคงรักษาความร่วมมืออย่างใกล้ชิดกับประธานาธิบดีทรัมป์และรัฐบาลของเขาเพื่อเสริมสร้างความมั่นคงทางการป้องกันประเทศ” อย่างไรก็ดีหุ้น Boeing ปรับขึ้น 2.8% ขณะที่หุ้น Palantir ซึ่งเคยร่วงลงเล็กน้อยในช่วงแรก กลับพลิกบวกขึ้น 1.4% ในการซื้อขายช่วงกลางวัน
คำให้สัมภาษณ์ของลัทนิคสะท้อนถึงท่าทีล่าสุดของทำเนียบขาวที่แทรกแซงภาคเอกชนในระดับสูง ซึ่งโดยปกติแล้วจะเกิดขึ้นเฉพาะในช่วงสงคราม หรือเพื่อกอบกู้บริษัทที่มีความสำคัญเชิงยุทธศาสตร์ในช่วงวิกฤตเศรษฐกิจ
วิลเลียม ฮาร์ตุง (William Hartung) นักวิชาการอาวุโสจาก Quincy Institute for Responsible Statecraft ระบุว่า การเคลื่อนไหวดังกล่าวเป็นความคิดที่ผิดพลาด เนื่องจากอาจทำให้รัฐบาลให้ความสำคัญกับผลกำไรของ Lockheed Martin มากกว่าประเด็นยุทธศาสตร์ที่สำคัญกว่า พร้อมย้ำว่า “เราจำเป็นต้องรักษาระยะห่างที่เหมาะสมระหว่างรัฐบาลกับบริษัทที่รัฐบาลมีหน้าที่กำกับดูแล”
สัปดาห์ก่อน รัฐบาลทรัมป์ประกาศเข้าถือหุ้นเกือบ 10% ในบริษัทผู้ผลิตชิป Intel ก่อนหน้านี้รัฐบาลยังได้เข้าแทรกแซงเพื่อให้การซื้อกิจการ U.S. Steel โดย Nippon Steel ของญี่ปุ่นเสร็จสมบูรณ์ พร้อมทั้งรับสิทธิพิเศษหรือ golden share ที่เปิดทางให้สหรัฐสามารถกำหนดทิศทางการดำเนินงานของบริษัทได้
นอกจากนี้ยังเข้าถือหุ้นในบริษัทแร่หายาก MP Materials และทำข้อตกลงกับผู้ผลิตชิป Nvidia และ AMD ให้รัฐบาลสหรัฐได้รับส่วนแบ่ง 15% ของรายได้จากการขายชิปให้จีน ซึ่งเดิมทีถูกห้ามส่งออก
เมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา ทรัมป์ยืนยันว่าเขาต้องการให้รัฐบาลสหรัฐลงทุนในบริษัทอเมริกันที่แข็งแกร่งเพิ่มมากขึ้น แม้จะมีเสียงวิจารณ์ว่าการแทรกแซงเช่นนี้อาจจำกัดกลยุทธ์ธุรกิจและความคล่องตัวทางการตลาดของเอกชน รวมถึงส่งผลต่อผู้บริโภค
การเข้ามามีบทบาทของรัฐบาลในเศรษฐกิจครั้งนี้ถือว่าผิดปกติ และได้สร้างพันธมิตรทางการเมืองที่ไม่คาดคิด โดยเบอร์นี แซนเดอร์ส วุฒิสมาชิกสายเสรีนิยม ก็สนับสนุนการเข้าถือหุ้นใน Intel เช่นกัน
ลัทนิคกล่าวเพิ่มเติมว่า บริษัทที่ต้องการความช่วยเหลือจากรัฐบาลต้องพร้อมที่จะทำงานร่วมกับทรัมป์ “ถ้าบริษัทใดเข้ามาหารัฐบาลสหรัฐ แล้วบอกว่าเราต้องการความช่วยเหลือ เราอยากเปลี่ยนแปลงทุกอย่าง … ผมคิดว่านั่นเป็นคำถามระหว่างซีอีโอกับประธานาธิบดีสหรัฐว่าเขาจะยอมรับและเปลี่ยนกติกาหรือไม่”
“ถ้าเรากำลังเพิ่มคุณค่าพื้นฐานให้กับธุรกิจของคุณ ผมคิดว่ามันยุติธรรมที่โดนัลด์ ทรัมป์จะคำนึงถึงประชาชนอเมริกัน” ลัทนิคกล่าวสรุป
อ้างอิง : www.reuters.com