ก.ล.ต. ชู “สภาพคล่อง-ความเชื่อมั่น” อัพเกรด ตลาดทุนไทย รับมาตรฐานสากล
ก.ล.ต. ชู 2 ยุทธศาสตร์หลัก "สภาพคล่อง-ความเชื่อมั่น" หวังอัพเกรด ตลาดทุนไทย สอดรับมาตรฐานสากล มุ่งเน้นเพิ่มคุณภาพบริษัทจดทะเบียน ปรับปรุงกฎเกณฑ์ และใช้เทคโนโลยี เสริมแกร่งตลาดหุ้น ดึงดูดนักลงทุนทั้งในและต่างประเทศ
27 สิงหาคม 2568นางพรอนงค์ บุษราตระกูล กรรมการและเลขานุการ คณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) เปิดเผยภายหลัง เสวนา "Reforming the Market: Capital Markets at an Inflection Point“ ในงาน Thailand Focus 2025 ว่า ก.ล.ต. เผยยุทธศาสตร์หลักเพื่อยกระดับตลาดทุนไทยให้สามารถแข่งขันได้ในเวทีโลก โดยมุ่งแก้ไข 2 ปัญหาสำคัญ ได้แก่
1. การสร้างสภาพคล่อง และการสร้างความเชื่อมั่นให้กับตลาดทุน พร้อมปรับปรุงกฎหมายและกระบวนการทำงานให้รัดกุมและทันสมัยมากขึ้น เพิ่มสภาพคล่องตลาดหุ้นด้วยมาตรการเชิงรุก โดย ก.ล.ต. มุ่งมั่นที่จะเพิ่มคุณภาพของบริษัทจดทะเบียน (บจ.) โดยการยกระดับเกณฑ์ให้เทียบเท่ากับหลักทรัพย์ที่เข้าจดทะเบียนครั้งแรก (IPO) เพื่อป้องกันการแปลงสภาพเป็นบริษัทจดทะเบียนแบบ "Backdoor Listing"
รวมถึงสนับสนุนให้ บจ. มีการเปิดเผยข้อมูลเชิงรุกมากขึ้น เช่น การเปิดเผยรายงานผลการดำเนินงานและการวิเคราะห์ฐานะการเงิน (MD&A) แบบรายไตรมาส แทนที่จะเป็นรายปี เพื่อให้นักลงทุนเข้าถึงข้อมูลได้อย่างรวดเร็ว
2. ก.ล.ต. ทำงานร่วมกับตลท. เพื่อส่งเสริมให้ บจ. สร้างมูลค่าเพิ่มในระยะยาว (Value Up) ด้วยการให้ความสำคัญกับหลักธรรมาภิบาลและการปฏิบัติงานตามแนวทางด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และบรรษัทภิบาล (ESG) รวมถึงการปรับปรุงกระบวนการพิจารณาอนุญาตการเสนอขาย IPO ให้กระชับยิ่งขึ้น และอำนวยความสะดวกให้บริษัทต่างชาติเข้ามาจดทะเบียนในไทยได้สะดวกขึ้น เสริมความเชื่อมั่นนักลงทุนด้วยกฎหมายและการบังคับใช้ที่เข้มแข็ง
“ก.ล.ต. มีแนวคิดในการปรับลดขั้นตอนการนำบริษัทเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ให้สั้นลง จากเดิมที่มีระยะเวลา 90 วันหลังจากนับหนึ่งไฟลิ่ง เพราะเมื่อเทียบกับต่างประเทศขั้นตอนการทำ IPO ของไทยค่อนข้างช้า หากรวดเร็วขึ้นน่าจะดึงดูดให้ตลาดทุนไทยมีความน่าสนใจในตสายตาของบริษัทต่างประเทศมากขึ้น” นางพรอนงค์ กล่าว
ด้านความเชื่อมั่น ก.ล.ต. เน้นย้ำว่าได้เร่งรัดการจัดการกับกรณีทุจริตต่างๆ ด้วยการนำเครื่องมือดิจิทัลและเทคโนโลยีการกำกับดูแล มาใช้เพื่อเป็นสัญญาณเตือนภัยและกำลังแก้ไขกฎหมายเพื่อเพิ่มอำนาจในการบังคับใช้กฎหมายให้เข้มข้นขึ้น โดยเฉพาะการดำเนินการกับผู้กระทำผิดโดยตรง และการกำกับดูแลผู้ที่ทำหน้าที่รักษาความน่าเชื่อถือในตลาด
นอกจากนี้ ก.ล.ต. ได้เพิ่มความรับผิดชอบผู้ประกอบธุรกิจ ด้วยการยกระดับมาตรฐานการกำกับดูแลผู้ประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัล ทั้งกระดานซื้อขาย (Exchange) และนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์ (Broker) เพื่อป้องกันการหลอกลวง (Scam) อีกทั้งสนับสนุนให้คริปโทฯ เป็นหนึ่งในสินทรัพย์ที่สามารถลงทุนได้ โดยสนับสนุนการออก Investment Token และอนุญาตให้กองทุนรวมลงทุนในคริปโทฯ ได้ในสัดส่วนที่เหมาะสม
สำหรับการใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีบล็อกเชน ก.ล.ต. คาดว่าจะเห็นความคืบหน้าของแนวคิด Tokenization ที่นำสินทรัพย์ดั้งเดิมมาเปลี่ยนให้อยู่ในรูปแบบดิจิทัล รวมถึงความร่วมมือกับหน่วยงานอื่นในการส่งเสริมการใช้เงินดิจิทัลเพื่อการท่องเที่ยว ซึ่งคาดว่าจะเห็นผลเป็นรูปธรรมในช่วงไตรมาสที่ 4 ของปีนี้
“ก.ล.ต. ได้เตรียมพร้อมทั้งด้านบุคลากรและกฎหมายระดับรองสำหรับรองรับการบังคับใช้กฎหมายฉบับใหม่ ที่จะช่วยให้การทำงานรวดเร็วและมีประสิทธิภาพมากขึ้น เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุน และรักษาความสามารถในการแข่งขันของตลาดทุนไทยในระยะยาว” นางพรอนงค์ กล่าว
นางพรอนงค์ กล่าวว่า ก.ล.ต. ร่วมกับ สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง คณะกรรมการกำกับตลาดทุน คณะกรรมการตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย สภาธุรกิจตลาดทุนไทย สมาคมบริษัทหลักทรัพย์ไทย และสมาคมบริษัทจัดการลงทุน ภายใต้ชื่อ คณะทำงานเพื่อพิจารณามาตรการปฏิรูปตลาดทุนไทย (Taskforce) จะจัดงานแถลงข่าว “มาตรการสร้างเสน่ห์ตลาดทุนไทย” ในวันที่ 15 ก.ย. 2568 เพื่อส่งเสริมขีดความสามารถในการแข่งขันระดับสากล และสร้างความเชื่อมั่นให้กับตลาดทุนไทยในระยะยาว
โดยมาตรการดังกล่าวจะช่วยสร้างความน่าสนใจให้กับตลาดทุนไทย ทั้งในส่วนของดีมานด์และซัพพลาย เพื่อสร้างความน่าสนใจให้กับนักลงทุนรายย่อยและนักลงทุนต่างชาติ ผ่านมาตรการต่างๆ เช่น มาตรการทางภาษี และการดึงดูงบริษัทที่มีศักยภาพจากต่างประเทศให้เข้ามาจดทะเบียนในตลาดทุนไทย
ก.ล.ต.ได้ชี้แจงถึงความคืบหน้าของคดีที่อยู่ในความสนใจ เช่น คดีหุ้น MORE, STARK และแพลตฟอร์มสินทรัพย์ดิจิทัล Zipmex โดยระบุว่าคดีเหล่านี้ได้ออกจากสำนักงาน ก.ล.ต. ไปเกือบทั้งหมดแล้ว และขณะนี้อยู่ในขั้นตอนการดำเนินงานของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
สำหรับคดี MORE มีการดำเนินการ 2 ส่วน คือในส่วนของคดีแพ่งและคดีที่สำนักงานได้กล่าวโทษไป ซึ่งทาง ก.ล.ต. ไม่ต้องการให้มีการเปรียบเทียบแต่ละคดี แต่ยืนยันว่าทุกคดีได้ส่งต่อสู่กระบวนการยุติธรรมแล้ว
นอกจากนี้ประเด็นสำคัญที่ ก.ล.ต. ให้ความสำคัญคือการเพิ่มประสิทธิภาพในการบังคับใช้กฎหมาย โดยขณะนี้มี ร่างพระราชกำหนด (พ.ร.ก.) ที่ผ่านการพิจารณาจากคณะกรรมการกฤษฎีกาและรอเข้าสู่การพิจารณาของคณะรัฐมนตรี (ครม.) ซึ่งจะให้อำนาจ ก.ล.ต. ในการเป็น “พนักงานสอบสวนร่วม” กับเจ้าหน้าที่ตำรวจ ทำให้กระบวนการรวบรวมพยานหลักฐานและการดำเนินคดีมีความรวดเร็วและมีประสิทธิภาพมากขึ้น
ขณะเดียวกัน ร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) แก้ไขเพิ่มเติม พ.ร.บ.หลักทรัพย์ฯ ซึ่งอยู่ระหว่างการพิจารณาของคณะกรรมการกฤษฎีกา จะเข้ามาเพิ่มอำนาจให้ ก.ล.ต. สามารถกำกับดูแลและลงโทษ “สำนักสอบบัญชี” ได้โดยตรง จากเดิมที่กำกับดูแลได้เฉพาะผู้สอบบัญชีรายบุคคล ซึ่งจะช่วยยกระดับมาตรฐานของผู้ทำหน้าที่ตรวจสอบดูแล (Gatekeeper)