เปิดมุมมอง 3 โบรกฯ ส่องกลยุทธ์ลงทุน พร้อมเสิร์ฟหุ้นเด่นวันนี้
ทันหุ้น – บล.ฟินันเซียไซรัส มองแนวโน้มตลาดวันนี้ คาดว่า SET Index จะแกว่งตัว Sideways ในกรอบ 1,255-1,275 จุด โดยระยะสั้นยังมีโอกาสชะลอตัวลดความร้อนแรงหลังจากปรับขึ้นแกร่ง 20% ขณะที่ระยะสั้นกระแสเงินทุนคาดชะลอตัวจากค่าเงินสกุลเอเชียที่เริ่มอ่อนค่าหลัง Dollar Index พลิกมาปรับตัวขึ้น
โดยล่าสุดเมื่อคืนที่ผ่านมาตัวเลขเงินเฟ้อ PPI สหรัฐฯเดือน ก.ค. ออกมาสูงกว่าคาดพอสมควร (+0.9% m-m, +3.3% y-y) ทำให้ตลาดเริ่มกลับมาจับตาผลกระทบจากภาษีการค้าสหรัฐฯ อีกครั้ง ซึ่งจะกระทบต้นทุนสินค้าให้ปรับตัวสูงขึ้นในระยะถัดไป ส่งผลให้ Bond Yield และ Dollar Index พลิกมาปรับตัวขึ้น โดยปัจจุบันตลาดยังคาดหวัง FED ลดดอกเบี้ยในเดือน ก.ย. แต่ลดโอกาสในรอบการประชุมเดือน ต.ค.-ธ.ค. ลงบ้าง
ส่วนปัจจัยในประเทศวันนี้ติดตามการลงมติร่างงบฯ 69 วาระ 2-3 หากผ่านได้จะช่วยปลดล็อคความเสี่ยงเศรษฐกิจได้หนึ่งประเด็น ขณะที่โฟกัสหลักถัดไปจะอยู่ที่ศาลรัฐธรรมนูญซึ่งนัดอ่านคำวินิจฉัยคดีคลิปเสียงนายกวันที่ 29 ส.ค. เราคาดว่าจะทำให้ดัชนีมีความผันผวนมากขึ้นในระยะนี้ ส่วนด้านผลประกอบการ 2Q25 บจ.ประกาศเกือบครบแล้วโดยรวมใกล้เคียงกับที่ตลาดคาด ซึ่งต้องติดตาม Outlook ช่วง 2H25 จากบริษัทรวมถึงการทบทวนประมาณการ EPS ปี 2025 ปัจจุบันที่ราว 89 บาทว่าจะยืนทรงตัวได้หรือไม่ สำหรับ SET Index เรามองว่าการพักตัวตราบใดยังไม่หลุดแนวรับหลัก 1,240+- จุด ระยะกลาง-ยาวยังมีแนวโน้มเป็นบวกและมีโอกาสไต่ระดับขึ้นต่อทดสอบกรอบ 1,280-1,300 จุดเพื่อทะลุผ่านอีกครั้ง เรายังคงมุมมองว่าหุ้น Consumer Staple ที่ยัง Laggard ตลาดและกระทบจากภาษีรวมถมึงการเมืองจำกัด มีแนวโน้มปรับตัวได้แข็งกว่าดัชนี
กลยุทธ์ : เลือกลงทุนในหุ้นที่ยัง Laggard ตลาดและมีกำไร 2Q25 แข็งแกร่ง
หุ้นเด่นเดือน ส.ค. : BDMS, CPALL, CPN, MTC, SCGP
FSSIA Portfolio : BA, BDMS, CENTEL, CPALL, KBANK, MTC, NSL, OSP, STECON
หุ้นเด่นวันนี้ : SJWD
- แนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 14 บาท
- กำไรปกติ 2Q25 ออกมาที่ 285 ลบ. –21% q-q, +61% y-y ดีกว่าคาด 19% จากส่วนแบ่งกำไรของบ.ร่วมที่ดีกว่าคาด ส่วนธุรกิจของ SJWD โดยรวมเป็นไปตามคาด โดยการชะลอ q-q เป็นเรื่องปัจจัยฤดูกาล
- กำไร 1H25 คิดเป็น 67% ของประมาณการทั้งปี ขณะที่โมเมนตัมกำไร 2H25 คาดว่าจะดีขึ้นโดยเฉพาะ 4Q25 ที่เป็น High Season โดยประมาณการเรามี Upside และมีแนวโน้มปรับขึ้น
- แนวรับ 8.50//8.20 บาท แนวต้าน 9.20-9.25//9.80 บาท
ด้าน บล.ดาโอ คาดดัชนีฯ ผันผวนกรอบแคบ ก่อนเข้าสู่วันหยุด โดยตลาดหุ้นไทย ดัชนีฯจะมีความผันผวนหลังราคาหุ้นส่วนใหญ่ปรับตัวขึ้นมามาก หุ้นธนาคารถูกกดดันจากการลดดอกเบี้ย ขณะที่บริษัทต่างๆ รายงานกำไรกันครบแล้ว และจะเข้าสู่วันหยุด ซึ่งจะเปิดมาด้วยการรายงานตัวเลข GDP ไตรมาสที่ 2 ของไทย ในวันจันทร์
ปัจจัยและเหตุการณ์สำคัญ :
ปัจจัยต่างประเทศ
ตลาดหุ้นสหรัฐฯ แผ่วลงหลังแตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ และอัตราผลตอบแทนพันธบัตร (Bond Yield) ปรับตัวสูงขึ้น (bond yield 10 ปี 4.29%) หลังจากข้อมูลเงินเฟ้อฝั่งผู้ผลิต (PPI) ออกมาแข็งแกร่งกว่าที่คาดการณ์ไว้ (PPI Final Demand YoY, actual 3.3%, est. 2.5%, prior 2.3%) ทำให้นักลงทุนลดการคาดการณ์ว่าธนาคารกลางสหรัฐ จะลดอัตราดอกเบี้ยในเดือนกันยายน
ความกังวลประเด็นการค้าสหรัฐฯ คลี่คลายไปบ้างแล้ว หลังโดนัลด์ทรัมป์ ประกาศตัวเลขภาษีนำเข้ารายประเทศ และคู่ค้าหลักอย่างจีนได้ตกลงขยายเวลาระงับภาษีนำเข้าออกไปอีก 90 วัน ด้านอินเดียที่โดยภาษี 50% ยังเชื่อว่าจะมีการเจรจาเพิ่มเติมอีก เพื่อตกลงในอัตราที่ต่ำลงกว่า หลังจากนี้ให้ระวังเรื่องการปรับภาษีนำเข้าเป็นรายสินค้าไป
รอติดตามคืนนี้(15 ส.ค.) ปธน.โดนัลด์ ทรัมป์ เตรียมประชุมสุดยอดกับปธน. วลาดิเมียร์ ปูติน เพื่อหารือในข้อตกลงยุติสงครามระหว่างรัสเซีย-ยูเครน ทั้งนี้คาดว่าจะมีการหารือส่วนของการครอบครองดินแดน …. หากการเจรจาออกมาดี จะส่งผลบวกต่อตลาดหุ้น โดยเฉพาะตลาดหุ้นยุโรป รวมถึงหุ้นส่งออกของไทย
ปัจจัยในประเทศ :
การปรับลดดอกเบี้ยนโยบายของ กนง. 0.25% และมีโอกาสที่จะปรับลดลงได้อีกอย่างน้อย 1 ครั้ง ในปีนี้ อาจส่งผลกระทบต่ออัตรากำไร(NIB) ของธนาคารของไทยมากขึ้น เป็นเหตุให้ราคาหุ้นกลุ่มธนาคาร ปรับตัวลดลงในวันที่ผ่านมา …. สัปดาห์หน้า คาดว่า ธนาคารต่างๆ จะทยอยประกาศเงินปันผลระหว่างกาล ซึ่งจะมีผลต่อราคาหุ้นธนาคาร ถ้า เงินปันผลจ่ายรอบนี้ สูงหรือต่ำกว่าที่คาดกันไว้
แม้การตัดสินคำร้องของนายกฯ โดยศาลรัฐธรรมนูญ ในวันที่ 29 ส.ค.จะอีกหลายวัน แต่เนื่องจากจะมีผลต่อทิศทางการเมือง ซึ่งอาจเป็นบวกหรือลบต่อตลาดหุ้นได้ อาจทำให้การซื้อขายของตลาดจากนี้ไป มีความผันผวนมากขึ้น เพราะนักลงทุนจะปรับกรอบลงทุนมาเป็นสั้นๆ ส่วนหนึ่งมาจาก แรงขายทำกำไรจะมากขึ้น (หลังส่งงบ และขึ้น “”XD”)
สภาฯ กำลัง พิจารณาร่าง พ.ร.บ. งบประมาณรายจ่ายประจำปี 2569 วงเงิน 3.78 ล้านล้านบาท ในวาระ 2 และ 3 ซึ่งคาดว่าจะหารือเสร็จสิ้นและลงมติในวันนี้ ความคืบหน้าดังกล่าวเป็นผลต่อต่อตลาดหุ้น เนื่องจากรัฐบาลจะสามารถออกมาตรการเศรษฐกิจได้เร็วยิ่งขึ้น ช่วยให้เงินในระบบหมุนเวียนได้มากขึ้น
สัปดาห์หน้า(18 ส.ค.) สภาพัฒน์ จะรายงาน GDP ไตรมาส 2/68 โดยเราคาดว่าจะออกมาดี และอาจมีการปรับเพิ่มคาดการณ์ GDP ปี 2568-69 จากผลการส่งออกที่ขยายตัวต่อเนื่องในช่วงที่ผ่านมา ทั้งนี้ GDP ไตรมาส 1/68 ที่ผ่านมา ขยายตัวที่ 3.1%
สิ้นสุดกำหนดการส่งงบตลาด 2Q25 โดย DAOL ประเมินกำไรสุทธิของตลาดในไตรมาส 2/68 ที่ 3.14 แสนล้านบาท (+21% YoY, +11% QoQ) (รวมกำไรของ GULF ที่มีรายการพิเศษราว 5 หมื่นลบ. แต่ไม่รวมกำไรของ THAI) …. หลังจากนี้ให้ติดตามบทวิเคราะห์หุ้นรายตัวว่าจะมีการ Upgrade หรือ Downgrade ตามงบที่ออกมาของหุ้นนั้นๆ
Event วันนี้ : GDP ญี่ปุ่น
Technical : BCH, KAMART
ขณะที่ บล.คิงส์ฟอร์ด ประเมินแนวรับดัชนี SET วันนี้ที่ 1,250 – 1,260 แนวต้าน 1,270 – 1,280 คาดดัชนีทรงตัวรอการรายงานกำไรของ บจ.ต่างๆ และวันจันทร์สภาพัฒน์จะรายงาน GDP ไทย Q2/68 รวมถึงแนวโน้มเศรษฐกิจไทยในงวด 2H/68 และผกระทบจาก ม.ภาษีของสหรัฐ แนะนำซื้อเก็งกำไร CPF,ICHI,CK,TOA ที่รายงานกำไร Q2/68 ดีกว่าคาด
EPG* (ซื้อ / ราคาเป้าหมาย IAA Consensus 9.35 บาท) บริษัทรายงานกำไรสุทธิงวด 1Q68/69 (เม.ย.-มิ.ย.) อยู่ที่ 267 ล้านบาท +8%QoQ, +5%YoY หากตัดรายการขาดทุน FX และตั้งสำรอง ECL ออกกำไรปกติอยู่ที่ 344 ล้านบาท +18%QoQ มีปัจจัยหนุนจากรายได้ธุรกิจ Aeroklas ที่เติบโตสวนทางอุตสาหกรรมยานยนต์ไทยเพราะได้รับคำสั่งซื้อใหม่ ประกอบกับรายได้ที่ออสเตรเลียเพิ่มขึ้น จึงทำให้ GPM ปรับตัวดีขึ้น แนวโน้มในช่วงที่เหลือของปีคาดทยอยดีขึ้นจากฐานที่ต่ำในปีก่อน โดยธุรกิจ Aeroflex (insulator) ที่สะดุดไปใน 1Q68/69 จากบาทแข็งจะกลับมาฟื้นตัว เนื่องจากตลาดสหรัฐฯ มีความต้องการสูงในงานโครงการ โดยมีการย้ายวัตถุดิบไปผลิตในสหรัฐฯ และปรับขึ้นราคาขายตามคู่แข่ง นอกจากนี้ในทางบัญชีน่าจะไม่มีการตั้งสำรอง ECL อีก ทั้งนี้อิงจาก consensus ตลาดคาดกำไรปี 68/69 ที่ 1.05 พันล้านบาท +32%YoY ด้วย valuation ไม่แพง PER’68/69 ที่ 7.6 เท่า
CPF (ซื้อ / ราคาเป้าหมาย 29.00 บาท) กำไรสุทธิ 2Q68 อยู่ที่ 10,377 ลบ.(+50%YoY, +21%QoQ) สูงกว่า Bloomberg Consensus (9,841ลบ., +5%) ปัจจัยหนุนกำไรหลักๆมาจากราคาขายสุกรในไทยและภูมิภาค(เวียดนาม ,ฟิลิปปินส์, กัมพูชา) โดย ราคาสุกรไทย 2Q68 อยู่ที่ 87.2 บาท/กก. +29%YoY +10%QoQ ปรับตัวสูงขึ้นตอบรับ Supply ที่หายไปจากโรคระบาดสุกรในช่วงปีก่อน นอกจากนี้ต้นทุนอาหารสัตว์เองก็อยู่ในโซนต่ำ ส่งผลให้ GPM ไตรมาสนี้ +YoY +QoQ อยู่ที่ 19.79% ทั้งนี้ CPF ประกาศจ่ายปันผลระหว่างกาล 1.00 บาท/หุ้น คิดเป็น Div. Yield จากราคาหุ้น 24.20 บาท ที่ 4.13% จะ XD ในวันที่ 29ส.ค.68